คปภ.-อตุสาหกรรมประกันภัย-ธกส. ส่งท้าย“ประกันภัยข้าวนาปีฯ’63 เมืองพัทลุง ตั้งเป้าชาวนาทำประกันทั่วประเทศทะลุ 45.7ล้านไร่

0
87

ดร.สุทธิพล ทวีชัยการ เลขาธิการคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (เลขาธิการ คปภ.)
เปิดเผยว่า เมื่อวันที่ 2 พฤศจิกายน 2563 เลขาธิการ คปภ. พร้อมด้วยคณะผู้บริหาร คปภ. และคณะวิทยากร ตลอดจนภาคอุตสาหกรรมประกันภัย ได้ลงพื้นที่พบปะเกษตรกรกว่า 100 คน ณ หอประชุมองค์กรบริหารส่วนจังหวัดพัทลุง
ตำบลเขาเจียก อำเภอเมืองพัทลุง จังหวัดพัทลุง เพื่อรับฟังสภาพปัญหา อุปสรรค ข้อคิดเห็น ตลอดจนข้อเสนอแนะของการทำประกันภัยข้าวนาปีและข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ ประจำปี 2563 ซึ่งเกษตรกรได้สะท้อนสภาพปัญหาและอุปสรรคต่าง ๆ อันเป็นประโยชน์ต่อการนำไปปรับปรุงและพัฒนารูปแบบการรับประกันภัยข้าวนาปีและข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ รวมถึงได้รับทราบความต้องการในพื้นที่เกี่ยวกับการประกันภัยพืชผลประเภทอื่นโดยเฉพาะพืชเศรษฐกิจที่สำคัญ อาทิ ยางพารา ปาล์มน้ำมัน เป็นต้น

ถัดมาในวันที่ 3 พฤศจิกายน 2563 เลขาธิการ คปภ. ได้เป็นประธานกล่าวเปิดโครงการอบรมความรู้ประกันภัย Training for the Trainers สำหรับการประกันภัยข้าวนาปี และข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ ประจำปี 2563  ณ ห้อง Siva Grand Ballroom ชั้น 2 โรงแรมศิวา รอยัล อำเภอเมือง จังหวัดพัทลุง โดยมีนายกู้เกียรติ วงศ์กระพันธุ์ ผู้ว่าราชการจังหวัดพัทลุง ให้เกียรติกล่าวต้อนรับ และกล่าวขอบคุณ สำนักงาน คปภ. ที่เลือกจังหวัดพัทลุง เป็น 1 ใน 5 จังหวัด ในการจัดอบรมความรู้ด้านประกันภัยในปีนี้ อันจะเป็นประโยชน์อย่างยิ่งกับเกษตรกรในจังหวัดพัทลุง เพื่อนำระบบประกันภัยใช้เป็นเครื่องมือบริหารความเสี่ยงจากภัยธรรมชาติได้อย่างมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น ทั้งนี้ จังหวัดพัทลุง ถือเป็นเมืองเกษตรกรรมและเป็นอู่ข้าวอู่น้ำของภาคใต้ ซึ่งในพื้นที่ยังมีการเพาะปลูกข้าวที่มีคุณภาพสูง คือ ข้าวสังหยด แม้จะมีพื้นที่เพาะปลูกน้อยก็ตาม แต่ในปีนี้เกษตรกรผู้ปลูกข้าวได้ให้ความสำคัญในการทำประกันภัยสูงกว่าปีก่อนมาก และคาดว่า ภายในวันที่ 31 ธันวาคม 2563 นี้ เกษตรกรในพื้นที่จังหวัดพัทลุง จะนำระบบประกันภัยมาบริหารความเสี่ยงได้เกือบ 100% ซึ่งทางจังหวัดให้ความสำคัญในเรื่องประกันภัยข้าวนาปีและช่วยกันเร่งขับเคลื่อนภารกิจที่เกี่ยวข้องเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการดำเนินการตามโครงการให้สัมฤทธิ์ผล

อย่างไรก็ดี จากวิถีชีวิตของเกษตรกรในจังหวัดพัทลุงที่เปลี่ยนแปลงไปตามสภาวการณ์ที่เกิดขึ้น ส่งผลให้พื้นที่เพาะปลูกข้าวเปลี่ยนเป็นพื้นที่เพาะปลูกพืชเศรษฐกิจที่สำคัญ อาทิ ยางพารา ปาล์มน้ำมัน มังคุด และลองกอง เป็นต้น ซึ่งหากพืชผลทางการเกษตรเหล่านี้ มีผลิตภัณฑ์ประกันภัยที่สามารถนำมาใช้ในการบริหารความเสี่ยงก็จะเป็นประโยชน์ต่อเกษตรกรอย่างยิ่งต่อไปด้วย

สำหรับการประกันภัยข้าวนาปีในปีนี้ รัฐบาลได้กำหนดเป้าหมายสูงสุดไม่เกิน 45.7 ล้านไร่ โดยล่าสุด ณ วันที่ 20 ตุลาคม 2563 ข้อมูลการรับประกันภัยข้าวนาปีทั่วประเทศ พบว่า เกษตรกรทำประกันภัยข้าวนาปีจำนวน 44,360,043 ไร่ คิดเป็นอัตราการเข้าถึงประกันภัยร้อยละ 72.58  ดังนั้นโดยภาพรวมของการทำประกันภัยข้าวนาปีในปีนี้ แม้จะยังไม่รวมตัวเลขการทำประกันภัยข้าวนาปีในพื้นที่ภาคใต้ เนื่องจากภาคใต้ยังเปิดรับประกันภัยข้าวนาปีไปจนถึงวันที่ 31 ธันวาคม 2563 ก็ถือว่าประสบความสำเร็จเป็นอย่างมาก และที่สำคัญประกันภัยสามารถเข้าไปบริหารความเสี่ยงและเยียวยาความสูญเสียให้กับพี่น้องเกษตรกรได้อย่างเป็นระบบและมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น

สำหรับการประกันภัยพืชผลนับวันจะมีความสำคัญมากยิ่งขึ้น ซึ่งจะเห็นได้ว่า มีการพัฒนาผลิตภัณฑ์ประกันภัยสำหรับพืชผลทางการเกษตรมาโดยตลอด โดยเริ่มจากการประกันภัยข้าวนาปี และข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ รวมถึงการประกันภัยพืชผลทางการเกษตรอื่น ๆ อาทิ การประกันภัยลำไย การประกันภัยทุเรียนภูเขาไฟ โดยล่าสุดจากการลงพื้นที่พบว่า เกษตรกรมีความต้องการให้มีการพัฒนาผลิตภัณฑ์ประกันภัยสำหรับยางพารา ซึ่งเป็นพืชเศรษฐกิจที่สำคัญและ
มีพื้นที่ปลูกกระจายอยู่ในหลายจังหวัดของประเทศ ดังนั้น จึงถือเป็นภารกิจสำคัญที่สำนักงาน คปภ.จะเดินหน้าบูรณาการร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อศึกษารูปแบบและพัฒนาผลิตภัณฑ์ประกันภัยให้ตอบโจทย์ความต้องการของพี่น้องเกษตรกร ควบคู่ไปกับการใช้วิธีการทางวิทยาศาสตร์หรือระบบเทคโนโลยีในการสำรวจความเสียหายและการชดใช้ค่าสินใหมทดแทนโดยเร็ว รวมถึงการส่งเสริมความรู้ความเข้าใจแก่เกษตรกรให้มากยิ่งขึ้น ส่วนในระยะยาว คือ การวางหลักเกณฑ์โครงสร้างพื้นฐานเพื่อให้การประกันภัยพืชผลทางการเกษตรเกิดความยั่งยืน เนื่องจากภัยธรรมชาติสามารถเกิดขึ้นได้ตลอดเวลา โดยสำนักงาน คปภ. ได้กำหนดไว้ในแผนพัฒนาการประกันภัย ฉบับที่ 4 (พ.ศ. 2564 – 2568

ทิ้งคำตอบไว้

กรุณาใส่ความคิดเห็นของคุณ!
กรุณาใส่ชื่อของคุณที่นี่