นายฉัตรพี ตันติเฉลิม ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน ทาลิส จำกัด เปิดเผยว่าตั้งแต่ปลายไตรมาสแรกของปี 2561 ตลาดเงินตลาดทุนทั่วโลกเผชิญแรงกดดันจากการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) และสงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯ กับจีน ซึ่งเป็นชนวนสำคัญของความผันผวนในตลาดหุ้นและสินทรัพย์เสี่ยงทั่วโลก ส่งผลให้ ผลตอบแทนในปี 2561 ติดลบเกือบทุกสินทรัพย์ เช่นเดียวกับดัชนีตลาดหลักทรัพย์ประเทศไทย (SET Index) ที่ผลตอบแทนในปี 2561 ติดลบสวนทางกับตัวเลขการเติบโตของเศรษฐกิจ โดย ณ สิ้นปี 2561 ดัชนีปิดที่ 1,564 จุด ลดลง 10.82% ในขณะที่ GDP ของประเทศไทย ขยายตัวที่ระดับ 4% ทำให้ภาพรวมของอุตสาหกรรมกองทุนรวม ได้รับผลกระทบ โดยภาพรวม NAV ณ สิ้นปี 2561 อยู่ในระดับใกล้เคียงกับ ณ สิ้นปี 2560 จากการที่นักลงทุนชะลอการตัดสินใจลงทุน เพื่อเลี่ยงความผันผวนของตลาดหุ้น และผลตอบแทนที่ไม่เป็นไปตามคาดหวัง
สำหรับ บลจ.ทาลิส ได้ปรับกลยุทธ์การลงทุนเพื่อสร้างผลตอบแทนที่ดีในสภาวะตลาดที่ความผันผวนสูง โดยศึกษาการลงทุนใหม่ๆ ที่ตอบโจทย์ของลูกค้าทั้งด้านความเสี่ยงและผลตอบแทน แม้ผลการดำเนินงาน ย้อนหลัง 3 เดือน 6 เดือน 1 ปี ไม่เป็นไปตามเป้าหมาย แต่ด้วยความเป็นองค์กรขนาดเล็กจึงมีความคล่องตัว ลูกค้าเข้าถึงผู้บริหารและทีมงานได้มากกว่าองค์กรใหญ่ๆ ทำให้กองทุนสร้างผลตอบแทนได้ดีขึ้น โดยยังคงเน้นกองทุนส่วนบุคคล (Private Fund) และกองทุนรวม
สำหรับปี 2562 ยังคงมุ่งมั่นดำเนินธุรกิจเป็น “Boutique Asset Management” ที่เชี่ยวชาญการลงทุนในหุ้นและตราสารหนี้ในประเทศ โดยตั้งเป้าลูกค้าใหม่เข้ามาใช้บริการกองทุนส่วนบุคคลและกองทุนรวมมากขึ้น มี AUM รวม ณ สิ้นปี 2562 แตะ 10,000 ล้านบาท จากปี 2561 ที่ 5,664 ล้านบาท โดยมีแผนออกกองทุนตราสารหนี้เพื่อเป็นทางเลือกเพิ่มขึ้น โดยช่องทางการขายผ่าน Selling agent นักวางแผนการลงทุนอิสระ (Independent Investment Planner : IIP) และช่องทางการให้บริการทางอิเล็กทรอนิกส์ คือ Internet Trading: TalisAM Online Channel และ Mobile Application: Streaming For Fund

นายประภาส ตันพิบูลย์ศักดิ์ ประธานเจ้าหน้าที่การลงทุน บลจ.ทาลิส จำกัด เปิดเผยว่า จากข้อมูล 15 ปีย้อนหลัง พบว่าตลาดหุ้นไทยสร้างผลตอบแทนเฉลี่ยสูงที่สุดเป็นอันดับ 1 เหนือกว่าผลตอบแทนเฉลี่ยของดัชนีหุ้นขนาดใหญ่ของโลก ด้วยอัตราผลตอบแทนเฉลี่ยที่ระดับ 8.8% และหากดูข้อมูลผลตอบแทนจากการลงทุนย้อนหลังตลอด 18 ปีที่ผ่านมา (Total return) ตลาดหุ้นไทยก็ยังเป็นตลาดที่ให้ผลตอบแทนสูงในอันดับต้นๆ
ดังนั้นภาพระยะยาวเชื่อว่าตลาดหุ้นไทย ยังคงถูกขับเคลื่อนด้วยการเติบโตของกำไรของบริษัทจดทะเบียนเป็นหลัก โดยมองว่าในอีก 10 ปี บริษัทจดทะเบียนของไทยจะสามารถทำกำไรเป็นสถิติใหม่เพิ่มขึ้นทุกปี สอดคล้องกับทิศทางเศรษฐกิจที่เริ่มเข้าสู่โหมดการฟื้นตัวต่อเนื่อง
อย่างไรก็ตาม SET Index ในปี 2562 มีโอกาสเผชิญความผันผวนสูง จากความเสี่ยงหลายๆด้าน ไม่ว่าจะเป็นการชะลอตัวของเศรษฐกิจโลก โดยเฉพาะจีน ประเด็นการเจรจาการค้าระหว่างสหรัฐฯ กับจีน ราคาน้ำมัน การขึ้นอัตราดอกเบี้ย รวมไปถึงผลการเลือกตั้ง ที่ต้องได้รัฐบาลที่มีเสียงข้างมาก หรือมากกว่า 350 เสียง จะทำให้สามรถเบิกจ่ายงบประมาณต่างๆ ได้อย่างราบรื่น ซึ่งจะเป็นบวกต่อตลาดทุน