ทีคิวเอ็ม คอร์ปอเรชั่น แถลงผลประกอบการประจำปี 2561 ตอกย้ำความเป็นผู้นำโบรคเกอร์ประกันภัยในประเทศไทย โชว์ผลงานปี 2561 กำไรกว่า 400 ล้านบาท เพิ่มขึ้นกว่า 50% หลังภาพรวมยอดขายรถยนต์ปีที่ผ่านมาทำสถิติสูงสุดในรอบ 5 ปี ดันเบี้ยประกันปีที่ผ่านมาทะลุเป้าอยู่ที่ 11,095 ล้านบาท ประกาศจ่ายปันผลครั้งแรก .30 สตางค์ กางแผน 8 กลยุทธ์เดินหน้าพัฒนาผลิตภัณฑ์ประกันร่วมกับพันธมิตรต่อเนื่อง เตรียมรุกตลาด และพัฒนาฟีเจอร์ Real-time Chatbot “TQM Blue Beary Bot” ผ่าน LINE Official Account “TQM Insurance Broker” ผลักดันการซื้อประกันภัยผ่านระบบออนไลน์สร้างประสบการณ์ใหม่ตอบโจทย์ผู้บริโภคยุค Mobile First พร้อมบุกตลาดประกันชีวิตและประกันสุขภาพ
ดร.อัญชลิน พรรณนิภา ประธานกรรมการ บริษัท ทีคิวเอ็ม คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ TQM เปิดเผยว่า ทีคิวเอ็ม คอร์ปอเรชั่น มีผลประกอบการปี 2561 รายได้รวม 2,525.04 ล้านบาท มีอัตราเติบโต 10.67% เมื่อเทียบกับปีก่อนที่มีรายได้ 2,281.67 ล้านบาท รายได้หลักยังคงมาจากเบี้ยประกันภัยรถยนต์ จำนวน 2,424.45 ล้านบาท เติบโต 10.60% มีกำไรสุทธิ 404.3 ล้านบาท เติบโตจากช่วงเดียวกันของปีก่อน 50.7% ที่มีกำไร 268.31 ล้านบาท ซึ่งการเติบโตที่ดีมาจากภาพรวมธุรกิจโบรคเกอร์ ประกันภัยในปี 2561 ที่ขยายตัวอย่างต่อเนื่องตามทิศทางของการเติบโตของเบี้ยประกันภัยในภาพรวม โดยเฉพาะกลุ่มประกันภัยรถยนต์ที่เติบโตอย่างโดดเด่นตามยอดขายรถยนต์ที่ขยายตัวเพิ่มขึ้น จากข้อมูลของสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ในปี 2561 มียอดขายรถยนต์ในประเทศรวมกว่า 1.04 ล้านคัน เพิ่มขึ้นจากปีก่อนถึง 19.5% นับว่าสูงที่สุดในรอบ 5 ปี โดยบริษัทฯ จะมีการจ่ายเงินปันผลเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ จำนวน 0.30 บาท โดยจะนำเสนอผ่านที่ประชุม ผู้ถือหุ้น ในวันที่ 25 เมษายน 2562 นี้ การที่ ทีคิวเอ็ม ได้เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยไปเมื่อเดือนธันวาคมที่ผ่านมา โดยเป็นโบรคเกอร์รายแรกที่ได้เข้าตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET)ถือได้ว่าเร็วกว่าที่คาดการณ์ไว้ และหุ้นก็ได้รับผลตอบรับจากนักลงทุนเป็นอย่างดี รวมทั้งในส่วนของบริษัทประกันก็ให้การตอบรับหุ้นของทีคิวเอ็มด้วยดีเช่นกัน
“ในปี 2562 ภาพรวมของธุรกิจประกันมีแนวโน้มในการขยายตัวและเติบโตอย่างต่อเนื่อง สืบเนื่องจากสถานการณ์ปัจจุบันที่ยังคงมีปัจจัยสนับสนุนด้านบวก ที่นอกเหนือจากประกันภัยรถยนต์ที่มีแนวโน้มขยายตัวตามอุตสาหกรรมยานยนต์แล้ว ประกันอื่น ๆ ก็มีส่วนผลักดันให้เกิดอัตราการเติบโตเพิ่มขึ้น เช่น เทรนด์การดูแลสุขภาพ ซึ่งผู้บริโภคหันมาให้ความสำคัญกันมากขึ้น ก็ส่งผลให้โปรดักท์ที่เกี่ยวกับประกันสุขภาพและประกันชีวิต เป็นที่ต้องการของลูกค้ามากขึ้นตามไปด้วย”
ด้านดร.นภัสนันท์ พรรณนิภา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กล่าวว่า สำหรับเป้าหมายในปีนี้ ตั้งเป้ายอดขายรวมไว้ที่ 12,690 ล้านบาท คิดเป็นอัตราการเติบโต 14% โดยกลุ่มทีคิวเอ็มยังคงตอกย้ำความเป็นผู้นำโบรคเกอร์ประกันภัยภายใต้แนวคิด “ไม่หยุดทำดีที่สุดเพื่อคุณ” ร่วมเดินหน้าพัฒนาโปรดักท์ประกันภัยร่วมกับพันธมิตร ที่เน้นการตอบโจทย์กับความต้องการที่เปลี่ยนแปลงของผู้บริโภค พร้อมเสริมทัพด้วยการให้บริการที่เข้าถึงผู้บริโภคได้อย่างสะดวก รวดเร็ว ตลอด 24ชั่วโมง ทั้งด้านออฟไลน์และออนไลน์ตามคอนเซปท์ “TQM Beside, Fight for Fair เพื่อนที่อยู่เคียงข้างคุณ 24 ชั่วโมง” ทั้งด้านการขายและการให้บริการ โดยดำเนินงานในหลายส่วน เช่น ร่วมกับสำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (คปภ.) และการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) ในช่วงต้นปีที่ผ่านมากับโครงการเที่ยวทั่วไทย หรือในปีที่ผ่านมากับโครงการมอบของขวัญปีใหม่ประกันอุบัติเหตุปีใหม่อุ่นใจ เพื่อร่วมตอบแทนสังคม รวมทั้งการร่วมมือกับพันธมิตรบริษัทประกันในการพัฒนาโปรดักท์ที่ครอบคลุมทุกกลุ่มเป้าหมายในลักษณะ Product Segmentation เช่น โปรดักท์ประกัน Motor for Lady กับเมืองไทยประกันภัย ประกันมนุษย์เงินเดือน กับกรุงเทพประกันภัย และโครงการเที่ยวสบายใจฝากบ้านไว้กับประกัน ร่วมกับ 8 พันธมิตรบริษัทประกัน
ในปีที่ผ่านมา TQM นำเทคโนโลยีเข้ามาพัฒนาช่องทางขาย ภายใต้โครงการ “TQM Digital” ที่จะพัฒนาการขายในตลาดประกันออนไลน์(Insure Tech)” พัฒนาฟีเจอร์ Real-time Chatbot เปิดตัว “TQM Blue Beary Bot” ผ่าน LINE Official ที่สามารถซื้อประกันภัยผ่าน Chatbot ได้ตลอด 24 ชั่วโมง ซึ่ง TQM ประสบความสำเร็จอย่างมากในปีที่ผ่านมา จากการพัฒนาโปรดักท์ และการให้บริการที่สามารถเข้าถึง และตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคยุคดิจิทัล ทั้งนี้บริษัท ฯ พร้อมที่จะเดินหน้าพัฒนาอย่างต่อเนื่องเพื่อสร้างการเติบโตในปีนี้
สำหรับกลยุทธ์การดำเนินงานของกลุ่มทีคิวเอ็มในปี 2562 ได้วางแนวทางไว้เป็นโครงการหลักๆ 8 โครงการเพื่อขับเคลื่อนธุรกิจให้เป็นไปตามเป้าหมาย ได้แก่ โครงการที่ 1 การทำ BIG DATA PROJECT เป็นโครงการที่เข้ามาช่วยวิเคราะห์ความต้องการของลูกค้า เพื่อจะได้นำเสนอผลิตภัณฑ์ได้ตรงตามที่ลูกค้าต้องการ รวมถึงสามารถสื่อสารได้ตรงกับลูกค้ามากยิ่งขึ้น เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพให้แก่ธุรกิจ ด้วยการใช้ AI มาประมวลผลและวิเคราะห์เพื่อใช้ในการนำเสนอ Products ให้ตรงความต้องการของลูกค้า โครงการที่ 2 คือ การทำ Products Segmentation เพื่อเจาะกลุ่มลูกค้าตามความต้องการหรือพฤติกรรมของแต่ละกลุ่มกับบริษัทประกัน ด้วยการขยายผลเจาะลึกมากขึ้น หรือการขยายความร่วมมือกับบริษัทประกันเพิ่มขึ้น โครงการที่ 3 LIFE INSURANCE PLATFROM จะมาเป็นตัวช่วยที่จะทำให้ลูกค้าสะดวกสบายยิ่งขึ้นในการเปรียบเทียบประกันชีวิตที่มีความเหมาะสมและคุ้มค่ากับตนเองมากที่สุด และเป็น Platform ที่ช่วยสนับสนุนระบบงานขายประกันชีวิตของบริษัทฯ ด้วย
โครงการที่ 4 Non Motor INSURANCE PLATFROM เป็นโครงการที่พัฒนาสำหรับใช้สนับสนุนงานขายประกันหมวด Health, PA, TA, Home เพิ่มความสะดวกในการเลือกทำประกัน โดยการนำฐานลูกค้าที่มีมาทำทำตลาดแบบ Cross Sale เพื่อเติมเต็มความต้องการด้านการประกันในรูปแบบต่างๆ ของลูกค้า โครงการที่ 5 LINE CHATBOT/AI/CHAT CENTER โครงการที่จะเพิ่มช่องทางการขายแบบ Omni Channel และพัฒนา Chatbot เพื่อมาตอบสนองทั้งในแง่การบริการและงานขาย โครงการ ที่ 6 AFFILIATE / STRATEGIC PARTNER เป็นโครงการทางการตลาดในการร่วมมือกับพันธมิตรทางธุรกิจเจ้าอื่น ๆ เพื่อขยายฐานลูกค้าให้มากขึ้น โครงการที่ 7 จะเน้นใช้เทคโนโลยีเพิ่มยอดขาย ลดค่าใช้จ่าย โดยการนำเทคโนโลยีมาใช้ต่อยอดกับสาขาและศูนย์ประสานงานของทีคิวเอ็มทั้ง 95 แห่งทั่วประเทศ ซึ่งจะสามารถให้บริการลูกค้าได้อย่างทั่วถึงทุกพื้นที่ซึ่งที่ผ่านมาเราสามารถลดค่าใช้จ่ายจากการนำเทคโนโลยีมาใช้ไปแล้ว 5% และ โครงการที่ 8 การตั้งเป้าให้ ทีคิวเอ็มเป็น Financial Brokerเป็นโครงการนายหน้าให้บริการทางด้านการเงิน เพื่อรองรับบริการด้านการเงินให้กับฐานลูกค้าของบริษัท ด้วยการเปิดการบริการอื่นๆ เพิ่มเติม เช่น การรับทำบัตรเครดิต สินเชื่อบุคคล สินเชื่อรถยนต์ โดยเจาะฐานลูกค้าที่มีอยู่ หรือเป็นการนำเสนอบริการเพิ่มเติม
ดร.นภัสนันท์ กล่าวต่ออีกว่า “กลุ่มทีคิวเอ็มจะเน้นการเพิ่มยอดขายจากกลยุทธ์ทั้ง 8 โครงการนี้ ในลักษณะของInorganic Growth ที่จะต้องพัฒนาให้สามารถตอบสนองความต้องการของตลาด สื่อสารให้เกิดการรับรู้กับผู้บริโภค การร่วมมือกับ Strategic Partnerและตลอดจนการร่วมทุน เพื่อทำให้บริษัทเติบโต รวมทั้งการเพิ่มยอดขายในลักษณะ Organic Growth ที่จะเติบโตตามการขยายตัวของธุรกิจ อุตสาหกรรม หรือพฤติกรรมผู้บริโภคที่เปลี่ยนไป ทั้งนี้ยอดขายอันดับหนึ่งยังคงเป็นรายได้จากยอดขายประกันรถยนต์ และอันดับที่สองคือ การขยายรายได้ไปสู่ประกันชีวิตและประกันสุขภาพ ซึ่งจากฐานลูกค้าเดิมมีอยู่แล้วจำนวนกว่า 1 ล้านราย และยังมีแนวโน้มการเติบโตของผู้บริโภคในส่วนนี้เพิ่มขึ้นอีก จากเทรนด์ในปัจจุบันที่ผู้บริโภคได้ให้ความสำคัญกับสุขภาพมากขึ้น การรับรู้ถึงค่ารักษาพยาบาลที่อยู่ในระดับสูงขึ้นทุกปี หรือ Aging Societyที่คนจะอายุยาวขึ้นและให้ความสำคัญกับสุขภาพและการรักษาพยาบาล ซึ่งประกันชีวิตและประกันสุขภาพจะมาตอบโจทย์เรื่องนี้ได้เป็นอย่างดี ทั้งนี้ประกันชีวิตและประกันสุขภาพที่ทีคิวเอ็มจะใช้เป็นกลยุทธ์ในการสร้างยอดขายจะเน้นที่ความคุ้มค่าของกรมธรรม์ และความคุ้มค่าเงินที่ผู้บริโภคต้องจ่ายไปมากที่สุด (Value for money)” ดร.นภัสนันท์ กล่าวสรุปกลยุทธ์ปี 2562