นางชวินดา หาญรัตนกูล กรรมการผู้จัดการ เปิดเผยถึงเศรษฐกิจในประเทศในกลุ่มอาเซียนว่า มีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยมีหลายปัจจัยที่สนับสนุนให้ตลาดหุ้นอาเซียนน่าสนใจในระยะยาว เช่น ในปี 2050 คาดว่า GDP ของอาเซียนจะเติบโตเป็น อันดับ 4 ของโลก รองจาก จีน อินเดีย และ สหรัฐฯ โดย สถาบัน แมคคินซีย์ โกลบอล อินซทิทยูท (McKinsey Global Institute) คาดว่าภูมิภาคอาเซียนควรมีการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานมากกว่า 2 ล้านล้านเหรียญสหรัฐ ระหว่างปี 2016-2030 ในการสร้างถนน ระบบราง ท่าเรือ สนามบิน โรงไฟฟ้า ระบบประปา และโครงข่ายการสื่อสาร เพื่อรองรับการเติบโตทางเศรษฐกิจ ซึ่งปัจจุบัน รัฐบาลในหลายประเทศอาเซียน กำลังขับเคลื่อนโครงการต่างๆ
ภาคการท่องเที่ยวมีอัตราการเติบโตสูง โดยในปี 2018 อาเซียนมีนักท่องเที่ยว 129.2 ล้านคน เพิ่มขึ้น 7.6% จากปี 2017 โดยสำนักสถิติโกลบอล ดาต้า (GlobalData ) คาดการณ์ว่า จำนวนนักท่องเที่ยวเข้าอาเซียนน่าจะเติบโตต่อไปด้วยอัตราเฉลี่ย 4.72% ต่อปี จนแตะ 155.4 ล้านคน ในปี 2022
ภาคธนาคารของอาเซียนกำลังฟื้นตัว หลังจากตั้งสำรองหนี้เสียไปมากแล้ว ขณะที่ NPL มีแนวโน้มปรับตัวลงอย่างต่อเนื่องในหลายประเทศ ทั้งนี้โครงสร้างประชากรเป็นปัจจัยหนุนการเติบโต โดยมีจำนวนคนอายุไม่ถึง 35 ปีมากกว่า 380 ล้านคน หรือ 58% ของประชากรในอาเซียน และอาเซียนยังมีกำลังแรงงาน (labor force) ขนาดใหญ่เป็นอันดับ 3 ของโลกรองจาก จีน และ อินเดีย คาดว่า โดยคาดว่าจำนวนคนชั้นกลางในอาเซียน จะเพิ่มขึ้นกว่าเท่าตัวจาก 135 ล้านคน (24%) ในปี 2015 ไปเป็น 334 ล้านคน (51%) ในปี 2030 อันเป็นปัจจัยสำคัญสนับสนุนการบริโภคในระยะยาว
นอกจากนี้ อาเซียนยังเป็นจุดหมายอันดับต้นๆในการย้ายฐานการผลิต นับตั้งแต่เกิดสงครามการค้าระหว่าง สหรัฐฯ และ จีน โดยปัจจัยที่ดึงดูดการลงทุนทางตรงจากต่างประเทศในรอบนี้ เช่น ทำเลที่ตั้ง ห่วงโซ่อุปทานและเครือข่ายขนส่งที่แข็งแกร่ง กำลังแรงงานขนาดใหญ่ รวมถึงความสัมพันธ์ที่ดีกับประเทศมหาอำนาจทั้งสองซึ่งเป็นคู่ขัดแย้ง
ส่วนปัจจัยสนับสนุนตลาดในระยะสั้น เจพี มอร์แกน เผยสถิติที่ผ่านมาว่า ตลาดหุ้นอาเซียน มักสร้างผลตอบแทนโดดเด่น ในช่วง 3-6 เดือนหลังจากธนาคารกลางสหรัฐ ( Fed ) และธนาคารกลางยุโรป( ECB) ผ่อนคลายนโยบายการเงินในช่วงกลางของวัฏจักรเศรษฐกิจ
ดังนั้นภูมิภาคอาเซียน จึงเป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่น่าสนใจ สำหรับการลงทุนในระยะยาว โดยบริษัทมีกองทุนเปิดเคแทม อาเซียน อิควิตี้ ฟันด์ ( KT-ASEAN ) ที่ลงทุนในหน่วยลงทุนของกองทุน JP Morgan Funds – ASEAN Equity Fund (กองทุนรวมหลัก) โดยเฉลี่ยในรอบปีบัญชีไม่น้อยกว่าร้อยละ 80 ของมูลค่าทรัพย์สินสุทธิของกองทุน ซึ่งกองทุนรวมหลักจะเน้นลงทุนในหุ้นของบริษัท ที่มีภูมิลำเนาอยู่ในสมาชิกกลุ่มอาเซียน หรือมีผลการดำเนินงานของบริษัทมาจากประเทศที่เป็นสมาชิกในกลุ่มอาเซียน และกองทุนรวมหลักอาจลงทุนในบริษัทจดทะเบียนในกลุ่มประเทศอาเซียน ซึ่งมีธุรกรรมกับประเทศอื่นๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งประเทศจีน
สำหรับผลการดำเนินงานย้อนหลัง ณ วันที่ 23 กรกฎาคม 2562 ผลตอบแทนของ YTD (2ม.ค.-23 ก.ค.) อยู่ที่ 11.02% ย้อนหลัง 6 เดือน อยู่ที่ 6.54% ย้อนหลัง1 ปี อยู่ที่ 5.93% และย้อนหลัง3 ปี อยู่ที่ 6.08% ซึ่งสูงกว่า Benchmark ( MSCI South East Asia Index ) YTD อยู่ที่ 6.33% ย้อนหลัง 6 เดือนอยู่ที่ 3.44% ย้อนหลัง 1 ปี อยู่ที่ 1.41% และย้อนหลัง 3 ปี อยู่ที่ 2.79 %
ทั้งนี้ผลการดำเนินงานในอดีต มิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลการดำเนินงานอนาคต / การลงทุนมีความเสี่ยง ผู้ลงทุนต้องทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไข ผลตอบแทน และความเสี่ยง ก่อนตัดสินใจลงทุน