คปภ. จับมือภาคธุรกิจ ปรับเพิ่มความคุ้มครอง พ.ร.บ จาก 300,000 บาท เป็น 500,000 บาท เริ่ม 1 เมษายน 2563

0
412

ดร.สุทธพล ทวีชัยการ เลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (คปภ.) เปิดเผยถึงที่มา และการบังคับใช้ทางกฏหมายเกี่ยวกับการเพิ่มความคุ้มครองประกันภัย พ.ร.บ. หรือประกันภัยภาคบังคับ ว่า หลังจากที่สำนักงาน คปภ.  ได้ร่วมหารือกับสมาคมประกันวินาศภัยไทย จนได้ข้อสรุปเห็นชอบร่วมกัน ในการกำหนดหลักเกณฑ์การชดใช้ค่าสินไหมทดแทนโดยปรับเพิ่มความคุ้มครองประกันภัยรถยนต์ภาคบังคับ หรือ ประกันภัย พ.ร.บ. จากเดิม 300,000 บาทเป็น 500,000 บาท โดยไม่ขึ้นค่าเบี้ยประกันภัย และประกันภัยรถยนต์ภาคสมัครใจปรับความคุ้มครองขั้นต่ำไม่น้อยกว่า 500,000 บาท ผู้ประสบภัยจากรถได้รับค่าสินไหมทดแทนทั้งสองกรมธรรม์รวมกัน ขั้นต่ำไม่น้อยกว่า 1 ล้านบาทต่อราย นับเป็นการยกระดับมาตรฐานการชดใช้ค่าสินไหมทดแทน เพื่อให้ประชาชนได้รับประโยชน์อย่างเป็นธรรมและรวดเร็ว โดยมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 1 เมษายน 2563 เป็นต้นไป

นายนพดล สันติภากรณ์  กรรมการผู้จัดการ บริษัท กลางคุ้มครองผู้ประสบภัยจากรถจำกัด ในฐานะเลขาธิการ สมาคมประกันวินาศภัยไทย เปิดเผยว่า ตามที่สำนักงานคปภ. และสมาคมประกันวินาศภัยไทย ได้ร่วมพิจารณาปรับปรุงกรมธรรม์ประกันภัยรถยนต์ทั้งการประกันภัยภาคบังคับและภาคสมัครใจ เพื่อยกระดับมาตรฐานในการพิจารณาชดใช้ค่าสินไหมทดแทนให้เป็นไปอย่างถูกต้อง ชัดเจน ครบถ้วนและเป็นธรรมโดยมีสาระสำคัญ คือ การปรับเพิ่มจำนวนเงินความคุ้มครองประกันภัยรถยนต์ภาคบังคับ หรือ ประกันภัย พ.ร.บ. กรณีผู้ประสบภัยจากรถเสียชีวิต หรือทุพพลภาพถาวรสิ้นเชิง หรือสูญเสียอวัยวะถึงขนาดที่กำหนด จาก 300,000 บาท เป็น 500,000 บาท โดยไม่มีการปรับเพิ่มค่าเบี้ยประกันภัยแต่อย่างใด และปรับความคุ้มครองการประกันภัยรถยนต์ภาคสมัครใจ โดยกำหนดเกณฑ์ในการชดใช้ค่าสินไหมทดแทน ขั้นต่ำไม่น้อยกว่า 500,000 บาท หากประชาชนที่เสียชีวิตหรือทุพพลภาพถาวรจากอุบัติเหตุทางรถ จะได้รับความคุ้มครองทั้งจากประกันภัย พ.ร.บ. และประกันภัยรถยนต์ภาคสมัครใจ รวมกันขั้นต่ำไม่น้อยกว่า 1,000,000 บาทต่อราย โดยมีผลคุ้มครองเริ่มตั้งแต่วันที่ 1 เมษายน 2563 เป็นต้นไป

สำหรับการปรับเพิ่มความคุ้มครองกรมธรรม์การประกันภัยรถยนต์ภาคบังคับ (พ.ร.บ.) และการกำหนดหลักเกณฑ์ในการพิจารณาชดใช้ค่าสินไหมทดแทน การประกันภัยรถยนต์ภาคสมัครใจในครั้งนี้ ถือเป็นการยกระดับมาตรฐานการชดใช้ค่าสินไหมทดแทนให้กับประชาชนที่เสียชีวิต หรือทุพพลภาพถาวรด้วยความรวดเร็ว และเป็นธรรม สอดคล้องกับสภาวการณ์ทางเศรษฐกิจและสังคมในปัจจุบัน และเป็นมาตรฐานเดียวกันทั่วประเทศ สามารถลดข้อโต้แย้งระหว่างบริษัทประกันภัยและผู้เสียหายลงได้ซึ่งจากบทเรียนที่ผ่านมาในหลาย ๆ เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นสะท้อนให้เห็นว่า การจ่ายค่าสินไหมทดแทนในปัจจุบันนั้นไม่เพียงพอต่อความสูญเสียที่เกิดขึ้นแล้ว ซึ่งการปรับเพิ่มความคุ้มครองในกรมธรรม์ประกันภัยรถยนต์ภาคบังคับ (พ.ร.บ.) นี้ ได้เคยมีการปรับเพิ่มมาเป็นลำดับ โดยปรับเพิ่มจาก 200,000 บาท เป็น 300,000 บาท เมื่อวันที่ 1 เมษายน 2559 และครั้งนี้ปรับเพิ่ม จาก 300,000 บาท เป็น 500,000 บาท ซึ่งผลจากการเพิ่มความคุ้มครองโดยไม่เพิ่มค่าเบี้ยประกันภัยนี้ คาดว่าจะทำให้บริษัทประกันภัยต้องแบกรับภาระต้นทุนความเสียหายเพิ่มขึ้นเป็นจำนวนเงินกว่า 2,700 ล้านบาท แต่การปรับเพิ่มความคุ้มครองในครั้งนี้ สมาคมฯ เชื่อว่าจะสามารถลดข้อโต้แย้งระหว่างบริษัทประกันภัยและผู้เสียหายลงได้ ที่สำคัญประชาชนได้รับประโยชน์และเกิดความเชื่อมั่นในการได้รับความคุ้มครองและชดใช้ค่าสินไหมทดแทนจากการประกันภัยได้อย่างรวดเร็วและเป็นธรรมมากขึ้น

“ หลังจากที่ได้ทำการปรับปรุงกรมธรรม์ประกันภัยรถยนต์ดังกล่าวแล้ว สมาคมฯ จะได้เร่งดำเนินการจัดประชุมชี้แจงเพื่อทำความเข้าใจและอธิบายแนวทางในการปฏิบัติตามกรมธรรม์ที่ได้มีการปรับปรุงแก้ไขได้อย่างถูกต้อง และเป็นไปในแนวทางเดียวกันพร้อมทั้งแลกเปลี่ยน และระดมความคิดเห็นระหว่างผู้ที่เกี่ยวข้อง ประกอบด้วยสำนักงาน คปภ. บริษัทประกันภัย และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง

ซึ่งกำหนดจัดการประชุมชี้แจงขึ้นทั้งหมดรวม 5 ครั้ง ระหว่างวันที่ 21 กุมภาพันธ์ ถึง 16 มีนาคม 2563 รวม 5 จังหวัด ได้แก่ กรุงเทพมหานคร เชียงใหม่ สงขลา ชลบุรี และขอนแก่น ตามลำดับ ซึ่งการจัดครั้งแรกในวันศุกร์ที่ 21 กุมภาพันธ์ 2563 ณ ห้องบอลรูม โรงแรมสวิสโฮเต็ล กรุงเทพฯ รัชดา “

ด้านนายประสิทธิ์ คำเกิด รองกรรมการผู้จัดการ บริษัท กลางคุ้มครองผู้ประสบภัยจากรถ จำกัด อธิบายเพิ่มถึงกรณีปรับเพิ่มความคุ้มครอง พ.ร.บ จาก 300,000 บาทเป็น500,000 บาท รวมถึงหลักปฏิบัติของเงินกองทุนทดแทน ภายจากจากที่กรมธรรม์มีผลบังคับ คือ นับตั้งแนวันที่ 1 เมษายน 2563 ว่า การเพิ่มความคุ้มครอง พ.ร.บ. เป็น500,000 บาท และเมื่อรวมกับประกันภาคสมัครใจแล้ว ไม่ต่ำกว่า 1 ล้านบาทนั้น นับเป็นการยกระดับมาตรฐานและชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชนคไทยมากขึ้น อีกทั้ง ยังได้แก้ปัญหาในเรื่องของการต่อรองจ่ายค่าสินไหมฯตามถานานรูปของประชาชนคนนั้นๆด้วย. ส่วนในเรื่องของเงินกองทุนทดแนนั้น  ยังคงปฏิบัติเหมือนเดิม และได้รับค่าเสียหายเบื้องต้น รวมทั้งค่ารักษาพยาบาลดังเดิม แม้กรมธรรม์ใหม่ที่มีการซื้อใหม่ และมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 1 เมษายน 2563 ก็ตาม

ทิ้งคำตอบไว้

กรุณาใส่ความคิดเห็นของคุณ!
กรุณาใส่ชื่อของคุณที่นี่