"ค่าขาดประโยชน์จากการใช้รถ"
...คำๆนี้มีความหมายเดียวกับ "ค่าขาดประโยชน์ระหว่างซ่อมรถ"ครับ
...
***เป็นเรื่องราวเกี่ยวข้องกับการประกันภัยรถยนต์โดยตรง แต่คนทำประกันรถยนต์ไม่รู้จัก ไม่เข้าใจ และไม่คุ้นกับเรื่องนี้
..."เรื่องนี้ จริงๆแล้ว บริษัทประกันไม่ได้ปกปิดหรอกครับ เพียงแต่ไม่เปิดเผยเท่านั้นเอง"...
...ไม่เปิดเผยอย่างไร?
***ปกติเวลาเราทำประกันรถแบบสมัครใจ(คือแบบที่ไม่ใช่ประกันพ.ร.บ.)เราดูแค่หน้าตารางกรมธรรม์ที่บริษัทประกันส่งให้ ซึ่งในหน้าตารางกรมธรรม์ไม่ได้ระบุเรื่องราวอย่างว่า ไว้เลยครับ...
...เรื่องความรับผิดของบริษัทประกันภัย ไปซ่อนอยู่ในกฎหมายประกันภัยตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ซึ่งเราไม่เคยสนใจมันเลย...
...เราสนใจเฉพาะสิ่งที่วางอยู่ข้างหน้าเพราะเหตุนี้นะครับ ที่ผมจึงบอกว่า เรื่องค่าขาดประโยชน์ถูกนำไปซ่อนไว้..
...ที่ผ่านมาคนที่รู้กฎหมายก็เรียกร้องได้ แต่คนอีกเกือบร้อยเปอร์เซนต์ไม่รู้ เขาก็ขาดประโยชน์ในสิ่งสมควรได้...
...จริงๆแล้ว ที่ผ่านมาผมเคยแนะนำบางท่านเรียกร้องค่าใช้จ่ายอย่างว่ากับบริษัทประกันไปบ้างเหมือนกัน...แต่เอาเข้าจริงบางครั้งก็ลืมไป..แม้บางครั้งรถยนต์ของคนใกล้ชิดเกิดอุบัติเหตุ ก็ลืมบอกไปเลย...
****ต้องขอบคุณสมาคมประกันวินาศภัยไทยที่เอาสิ่งที่อยู่ในที่มืดมาวางในที่แจ้ง ให้ประชาชนได้เห็นว่า พวกเขามีสิทธิ์ในประโยชน์ที่เกิดจากการทำประกัน
...ผมทราบว่า จะมีการทำให้เป็นหลักเกณฑ์ที่ชัดขึ้นว่า "ถ้ารถของคุณเกิดอุบัติเหตุ และมีคู่กรณีและเป็นฝ่ายถูก" คุณก็สามารถเรียกร้องค่าขาดประโยชน์จากการใช้รถจากบริษัทที่รับประกันรถยนต์ของคู่กรณี หรือเรียกร้องจากคู่กรณีได้ ในจำนวนเงินที่ชัดเจนขึ้น..เพื่อจะได้ไม่ต้องถกเถียงกันมากมายกับบริษัทประกัน
...แต่สิ่งสำคัญอีกเรื่องหนึ่งที่อยากให้ทำคือ คือการระบุบนหน้าตารางกรมธรรม์ให้ชัดครับว่า คุ้มครองเรื่องเหล่านี้ด้วย...เนื่องจากชาวบ้านจะดูเฉพาะเอกสารส่วนนี้เท่านั้น....
...เรื่องนี้สอนให้เห็นว่า วิธีคิดที่บอกว่า 'คนต้องรู้กฎหมาย การไม่รู้กฎหมายถือเป็นความผิด' ...เพราะความเป็นจริงก็คือ "เราไม่ได้เปิดเผยสิ่งที่มีอยู่จริง"ต่างหาก....
(เขียนโดย :สิทธิ์ บ้านไทยแลนด์)
"แบงก์ชาติเชือดไก่ให้ลิงดู กระเทือนครบถ้วน"
กรณีธนาคารแห่งประเทศไทยหรือแบงก์ชาติ ลงดาบธนาคารกรุงไทยกับธนาคารไทยพาณิชย์ ในฐานความผิดบังคับให้ลูกค้าสินเชื่อเลือกทำประกันอัคคีภัยกับบริษัทประกันวินาศภัยเพียงบริษัทเดียวนั้น ไม่ได้กระทบเพียงแค่ธนาคารเท่านั้น แต่กระเทือนไปถึงบริษัทประกันภัยด้วย
กรณีที่ว่านี้ เกิดจากธนาคารกรุงไทยและธนาคารไทยพาณิชย์ ยื่นรายชื่อบริษัทประกันภัยให้ลูกค้าสินเชื่อพิจารณาเพียงบริษัทเดียว แล้วที่สุดลูกค้าไม่พอใจ จึงร้องเรียนไปยังแบงก์ชาติว่า ทั้งสองธนาคารบังคับให้เลือกบริษัทประกันภัยเพียงบริษัทเดียวเท่านั้น
ในเรื่องที่เกี่ยวกับธุรกิจประกันภัย ธนาคารมีฐานะเป็นนายหน้าประกันภัย เป็นนายหน้าประเภทนิติบุคคล การเป็นนายหน้าประกันภัยนั้นมีหน้าที่ให้คำปรึกษา ซึ่งในแง่ของการเป็นที่ปรึกษาให้ลูกค้าเลือกบริษัทประกันภัยนั้น จะต้องมีรายชื่อและรายละเอียดให้ลูกค้าเลือกมากกว่าหนึ่งบริษัท ซึ่งกฎเกณฑ์ของแบงก์ชาติก็ระบุไว้เช่นนี้ด้วย
ดังนั้น การแสดงข้อมูลเพียงแค่หนึ่งบริษัท จึงทำให้ลูกค้าไม่มีทางเลือกอื่นๆ จึงเท่ากับว่า ทั้งสองธนาคารบังคับลูกค้าให้เลือกบริษัทนั้นบริษัทเดียว
เรื่องทำนองอย่างนี้ เป็นเรื่องใหญ่ทางธุรกิจ ทั้งธนาคารและบริษัทประกันภัย เหตุเพราะธนาคาร มีรายไดจำนวนมาก ที่เกิดจากคอมมิสชั่นในการขายประกัน ขณะที่บริษัทประกันภัยมีเบี้ยประกันภัยจำนวนมหาศาลที่มาจากการขายผ่านช่องทางธนาคารหรือ Bancassurance
ที่ผ่านมาบริษัทประกันภัยที่อยู่ในเครือของธนาคารพาณิชย์ มักได้เปรียบบริษัทประกันภัยอื่นๆที่ไม่มีอยู่ในเครือธนาคาร โดยบริษัทประกันภัยนั้นๆใช้ธนาคารเป็นช่องทางสำคัญอันเป็นที่มาของเบี้ยประกันภัย
ขณะเดียวกันบริษัทประกันภัย ที่ไม่ได้อยู่ในเครือของธนาคาร ก็แสวงหาธนาคารมาเป็นช่องทางการขาย โดยทำสัญญาเป็นพันธมิตรทางธุรกิจกัน ซึ่งการเป็นพันธมิตรกันนั้น ตอบสนองกันด้วยอัตราคอมมิสชั่นที่สูงพอสมควร และหากธนาคารแห่งใดมีบริษัทประกันภัยหลายบริษัทเป็นพันธมิตรด้วย บริษัทประกันภัยแต่ละแห่งก็ระดมสิทธิพิเศษให้กับธนาคาร เพื่อให้ธนาคารแนะนำให้ลูกค้าเลือกทำประกันกับบริษัทประกันภัยของตน
สถานการณ์จริงๆในตลาดประกันภัยระหว่างธนาคารกับบริษัทประกันภัยเป็นแบบนี้จริงๆ
ดังนั้น เมื่อเกิดกรณีแบงก์ชาติลงดาบธนาคารขึ้นมา...
"ความสุขของประชาชนคือตัวกำหนดการเติบโตของธุรกิจ"
...ขอพูดเรื่องธุรกิจประกันชีวิตหน่อยครับ....
***สมาคมประกันชีวิตไทย รายงานถึงอัตราการเติบโตของธุรกิจประกันชีวิตในประเทศไทย โดยระบุว่า เบี้ยประกันชีวิตรับรวม(คือเบี้ยประกันชีวิตทุกประเภททั้งเบี้ยฯปีแรก และเบี้ยฯต่ออายุรวมกัน)ณ สิ้นเดือนกรกรกฎาคมที่ผ่านมา(คือตั้งแต่มกราคม-กรกฎาคม2561) มีอัตราเติบโตจากช่วงเดียวกันของปีก่อน(2560)=4.69%
...สมาคมประกันชีวิตไทยระบุว่า 'เติบโตค่อนข้างดี'
...แต่ในความคิดของผมนั้น แม้จะมองว่า ค่อนข้างดี แต่ถือว่าเป็นทิศทางที่ไม่ดีครับ
....ทำไมถึงไม่ดี...?
...เหตุผลก็คือ เป็นอัตราการเติบโตในทิศทางที่ลดลง ลดลงอย่างไร?
***ผมเอาตัวเลขอัตราการเติบโตของเบี้ยฯรับรวมในรอบปีนี้ ที่สมาคมประกันชีวิตไทยแถลงนี่แหละครับ มาแสดง
...เดือนมกราคม-มีนาคม เติบโต 8.22%
...เดือนมกราคม-เมษายน เติบโต 7.80%
...เดือนมกราคม-พฤษภาคม เติบโต 6.78%
...เดือนมกราคม-มิถุนายน เติบโต 5.01%
...เดือนมกราคม-กรกฎาคม เติบโต 4.69%
...นี่แหละครับ สิ่งที่ผมบอกว่า เป็นทิศทางที่ลดลง
****ผมจึงคิดว่า ตัวเลขอัตราการเติบโตของเบี้ยฯปีแรก ที่เป็นธุรกิจใหม่ หรือการรับประกันชีวิตรายใหม่ ซึ่งสมาคมประกันชีวิตไทย ไม่ได้ทำตัวเลขให้เห็นนั้น จะต้องเติบโตลดลงด้วย
....ผมคิดว่า การเติบโตในทิศทางที่ลดลงดังกล่าวนี้ เป็นผลโดยตรงมาจากเศรษฐกิจครับ เศรษฐกิจในประเทศของเรา มันไม่ดีจริงๆ เมื่อเศรษฐกิจไม่ดี ประชาชนก็ไม่มีเงินใช้จ่าย จึงส่งผลไปถึงความสุขของประชาชนจริงๆ
....สมัยก่อนเราบอกกันว่าอัตราการเติบโตของธุรกิจประกันชีวิตมีผลโดยตรงมาจากการเติบโตของGDPของชาติ...
"งานพี่เพื่อน้อง จากผองเพื่อนชาวประกันและมวลมิตรธุรกิจเพื่อสังคม ปีที่15" กำหนดจัดวันเสาร์ที่ 10 พฤศจิกายน 2561นี้ ที่โรงเรียนวัดดอนผิงแดด อ.บ้านแหลม จ.เพชรบุรี
***ปีนี้สถานที่จัดงานใกล้ที่สุดนับตั้งแต่จัดมา
***ฝากถึงหน่วยงาน องค์กร บริษัท และทุกท่านที่เคยร่วมงานนี้ หรือยังไม่เคยร่วมงานมาก่อน เตรียมตัว เตรียมความพร้อม ล็อควันไว้ได้เลยครับ
***ส่วนกิจกรรม ไม่เกินอาทิตย์นี้จะแจ้งให้ทราบกัน
***สำหรับท่านที่ต้องการสนับสนุนหรือบริจาค ก็เตรียมๆไว้ได้เลยเช่นกัน
...ทางทีมงานนิตยสารฯจะรีบส่งเป็นหนังสือเชิญร่วมงานไปถึงทุกหน่วยงานครับ
...บางท่านอาจถามว่า '
"ถ้าไม่สังกัดหน่วยงาน ไม่สังกัดบริษัท สามารถไปร่วมได้มั๊ย?"
..ขอบอกเลยครับว่า "มาได้เลยครับ ยินดีต้อนรับเลย มาแบบอาสามาเลยครับ เราคือคนสนิท คนคุ้นเคยกัน ไม่จำเป็นว่า จะต้องสังกัดบริษัทหรอกครับ"
...ติดตามกันต่อไปครับ
...ยินดีต้อนรับทุกท่าน...ขอบคุณล่วงหน้านะครับ
ด้วยความเชื่อมั่นและศรัทธา
จาก : ทีมงานบ้านไทยแลนด์
วันที่ 14 กรกฎาคม...
***วันนี้ เป็นวันครบรอบการก่อตั้ง 'นิตยสารไทยแลนด์ อินชัวรันส์'ครับ
...เราเริ่มต้นในยุคเศรษฐกิจดิ่งลงเหว เป็น'ยุคค่าเงินบาทลอยตัว' ซึ่งมีการลดค่าเงินบาท ในปี 2542
...ตอนนี้เราเดินทางมาถึง'ยุครัฐบาลลอยตัว' เป็นรัฐบาลที่มีอำนาจมากมาย แต่เศรษฐกิจก็ย่ำแย่อย่างหนักเช่นกัน
***เป็นเหมือนเข้ารอบแห่งวงจรทางเศรษฐกิจนะครับ...
....แต่เอาล่ะ ปีที่19แล้ว เราต้องเดินฝ่าฝันมรสุมทางเศรษฐกิจกันต่อไป...
***ช่วงเวลาที่ผ่านมา ต้องย้ำว่า เรายังยึดมั่นแนวทางเดิมมาตลอด นั่นคือ
....หนึ่ง...ร่วมสร้างความรู้ความเข้าใจด้านประกันภัยให้กับประชาชน : เราเกิดในยุคที่คนในสังคม มีทัศนคติไม่ดีนักในเรื่องประกันภัย ภาคธุรกิจก็ไม่ได้เปิดกว้างด้านข้อมูลข่าวสารเท่าที่ควร แต่เราก็ทำหน้าที่เรื่อยมา จนทุกอย่างดีขึ้น ชาวบ้านมีทัศนคติในด้านบวกมากขึ้น ธุรกิจประกันภัยพัฒนาไปมาก วงการประกันภัยเองก็เปิดเผยข้อมูลต่างๆมากขึ้น
...สอง...ด้านการนำภาคประกันภัยลงไปให้เข้าถึงชาวบ้านและชุมชน : ถือเป็นหน้าที่หลักของเรา เราทำมานานและทำมาก่อนใคร แม้เวลาที่ผ่านมาบางงานบางกิจกรรม เราอาจถูกรบกวนถูกเบียดบังไปบ้าง แต่เราก็พยายามปรับตัว เพื่อเดินไปข้างหน้าตามกำลังที่เรามีอยู่...
****มาถึงปี 2561 โลกเปลี่ยน ประเทศไทยเปลี่ยน และธุรกิจก็เปลี่ยนไปอย่างมาก....การเปลี่ยนแปลงที่ว่านี้กระทบมาถึงสื่ออย่างชัดเจน ยิ่งมาเกิดปัญหาทางเศรษฐกิจกระหน่ำเพิ่มเข้ามาด้วย ก็ยิ่งเป็นผลกระทบที่บังคับให้ต้องถอยร่นในบางด้าน
....ถามว่า...
โดย : สิทธิ์ บ้านไทยแลนด์
อาทิตย์ที่แล้ว มีข่าวหนึ่งเกิดขึ้นในวงการประกันภัยครับ
***คือข่าวบริษัท ฟินิกซ์ประกันภัยเปลี่ยนชื่ออีกครั้ง
ที่ผมต้องบอกว่า เปลี่ยนชื่ออีกครั้ง ก็เพราะ นี่ไม่ใช่การเปลี่ยนแปลงครั้งแรก
***บริษัทฟินิกซ์ประกันภัย มาจากบริษัทธนวัฒน์ประกันภัย ที่เป็นบริษัทประกันวินาศภัยแห่งใหม่ อันเป็นผลจากรัฐบาลอนุมัติให้จัดตั้งในปี 2543
***หลังจากบริษัทธนวัฒน์ประกันภัยทำธุรกิจไปได้ 7 ปีก็ประสบปัญหาทางการเงิน จนส่งผลให้เงินกองทุนไม่ครบตามที่กฎของคปภ.กำหนด ขณะเดียวกันผู้ถือหุ้นธนวัฒน์เองก็มีหนี้สินผูกพันอยู่กับเจ้าหนี้อย่างตระกูลนิธิภัทรารัตน์ เจ้าของธุรกิจค้าปุ๋ย และอสังหาริมทรัพย์ ในที่สุดบริษัทนี้ก็ถูกโอนต่อให้กับตระกูลนิธิภัทรารัตน์ในปี 2550
***คุณเขม นิธิภัทรารัตน์เข้ามานั่งบริหารต่อ พร้อมกับเข้ามาแก้ปัญหาหนี้สินด้วย ซึ่งก็หนีไม่พ้นการเพิ่มทุนจดทะเบียนในปี 2552
...แต่อย่างไรก็ตาม แม้ว่าจะพยายามแก้ปัญหา ฟินิกซ์ก็หนีไม่พ้น โดยถูกคปภ.สั่งให้หยุดรับประกันภัยเป็นการชั่วคราวในวันที่ 20 กุมภาพันธ์ 2555 นั่นหมายความว่า ฟินิกซ์ต้องรีบเร่งฟื้นฟูสถานะให้กลับมาอย่างมั่นคง ซึ่งที่สุดก็สามารถแก้ปัญหาจนเข้าเกณฑ์ที่คปภ.กำหนด จนได้รับการอนุมัติให้รับประกันภัยได้ในวันที่ 28 มิถุนายน 2555
***ปี 2558...
ไทยเราพยายามเป็นรัฐสวัสดิการผ่าน3กองทุนหลัก
คือ
...กองทุนสุขภาพแห่งชาติ รักษาทุกโรค...อันนี้ชาวบ้านได้ รัฐจ่ายทั้งหมด
...กองทุนประกันสังคม อันนี้เฉพาะคนทำงาน...นายจ้าง ลูกจ้างช่วยกันจ่าย รัฐสมทบบ้าง
...กองทุนสวัสดิการข้าราชการ ...ซึ่งรัฐจ่ายทั้งหมด
...รัฐจ่ายก็คือประชาชนจ่ายนั่นแหละครับ...
***ถ้ามองเฉพาะ กองทุนสวัสดิการข้าราชการ แล้วโฟกัสเฉพาะสวัสดิการค่ารักษาพยาบาลข้าราชการและครอบครัว เราต้องเลี้ยงข้าราชการถึง5ล้านคน ซึ่งถ้ามองค่าใช้จ่ายต่อหัวแล้ว ตก 12,671บาท ซึ่งสูงกว่าค่าหัวของชาวบ้านที่ได้รับสิทธิ์ในอีกสองกองทุนหลายเท่า....แล้วที่สำคัญงบประมาณเพื่อการนี้ก็เพิ่มขึ้นทุกๆปีด้วย
...ว่ากันว่า ถ้ายังต้องอัดงบฯเลี้ยงแบบนี้ รับรองรัฐไทยนับถอยหลังเจ๊งอย่างแน่นอน...
***มีคนพยายามเสนอทางออก นั่นคือให้ระบบประกันภัยดูแลเรื่องสวัสดิการรักษาพยาบาลแทนรัฐ ซึ่งข้อดีคือ งบฯไม่เพิ่มทุกปีอย่างแน่นอน ขณะที่การควบคุมค่ารักษาพยาบาลดีขึ้น ควบคุมมาตรฐานค่ารักษาก็ดีขึ้น แล้วการบริการก็ไม่แย่กว่าเดิมอย่างแน่นอน ...ซึ่งอันนี้น่าจะรับประกันได้ เพราะเท่าที่เราเห็น คนที่ทำประกัน เข้าโรงพยาบาลแล้วไม่ค่อยมีปัญหาการบริการ....
...แต่ก็นั่นแหละครับ..ด้วยระบบราชการที่กินลึกเข้ากระดูกดำมานาน...จะเปลี่ยนอะไรสักที ยากแสนยาก....เพราะอำนาจลดลง แถมรั่วไหลไม่ได้
...ดังนั้น...ถ้าไม่เปลี่ยน เราก็จำต้องเลี้ยงข้าราชการเพิ่มขึ้นๆไปเรื่อยๆ...
เขียนโดย: สิทธิ์ บ้านไทยแลนด์
มาว่ากันต่อเรื่องธุรกิจประกันชีวิตปี 2560ครับ
***เป็นเบี้ยประกันชีวิตเฉพาะ Single Premium ซึ่งเบี้ยประเภทนี้ เป็นส่วนสำคัญของเบี้ยประกันชีวิตรับของหลายๆ บริษัท
...ผมจะแยกให้เห็นเพียงแค่สัดส่วนเบี้ยฯ Single ที่เกิดจากช่องทางตัวแทนหรือ Agency กับที่เกิดจากช่องทางธนาคารหรือ Banc นะครับ ว่าแต่ละบริษัทประกันชีวิตเป็นอย่างไร เมื่อดูเปอร์เซนต์ตัวเลขทั้งสองช่องทางแล้วรวมกัน ส่วนที่เหลือจากนั้น ก็จะเป็นเบี้ยฯในช่องทาง direct marketing:DM (ส่วนใหญ่คงเป็นเบี้ยฯจาก Tele หรือ การขายทางโทรศัพท์) และเบี้ยฯในช่องทางขายอื่นฯ (Other) เช่นแขายในระบบอินเตอร์เน็ต
***เรามาไล่สัดส่วนเปอร์เซนต์รายบริษัทกันเลยครับ (เป็นสัดส่วนเบี้ยฯ Single Premium -Agency : Banc)
ชับบ์ไลฟ์ 0:100
เอไอเอ 36:63
เอไลฟ์ 100:0
อลิอันซ์ อยุธยา 0:95
กรุงเทพ 23:76
บางกอกสห 0:0
ทิพย...
ดูๆเหมือนสคบ.แจกไม่อั้นรางวัล Call Center 14 บริษัทประกัน
ปกติสำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค หรือสคบ.จะไม่ค่อยมีภารกิจที่ยุ่งเกี่ยวกับธุรกิจประกันภัยมากนัก แม้มีบางเรื่องน่าจะยุ่งเกี่ยวในเชิงคุ้มครองผู้บริโภคหรือผู้เอาประกันภัยอยู่ได้บ้าง แต่น้อยครั้งที่สคบ.ลงมาแตะต้อง อาจจะเป็นเพราะว่า ในภาคประกันภัยนั้น ทางคปภ.หรือสำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย ดูแลด้วยความเข้มข้นอยู่แล้วก็เป็นได้
ดังนั้น สคบ.จึงแตะแบบห่างๆ หรือเพียงแค่เหลือบหางตาแบบเอียงๆไปมองเท่านั้น
เรื่องที่เอียงหางตาไปดูก็คือ แนวทางการแก้ปัญหาให้กับชาวบ้านหรือผู้บริโภค ซึ่งเมื่อวันที่ 15 กุมภาพันธ์ 2561ที่ผ่านมา สคบ.ได้มอบรางวัลศูนย์รับเรื่องและแก้ไขปัญหาให้กับผู้บริโภค (Call Center) ประจำปี พ.ศ. 2560 ให้บริษัทต่างๆในหลากหลายธุรกิจ รวมถึงธุรกิจประกันภัยด้วย บริษัทที่ได้รับรางวัล จัดเป็นผู้ประกอบธุรกิจที่มีศูนย์รับเรื่องและแก้ไขปัญหาให้กับผู้บริโภค (Call Center) ดีเด่น แล้วสามารถบริหารจัดการปัญหาและชดเชยเยียวยาให้แก่ผู้บริโภคได้อย่างมีประสิทธิภาพ รวมทั้งมีช่องทางพิเศษในการประสานงาน เพื่อให้เกิดความรวดเร็วในการจัดการปัญหากับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้ รางวัลที่มอบแบ่งเป็น 5 กลุ่มผู้ประกอบธุรกิจ ประกอบด้วย...
คุณเชื่อหรือไม่?...ว่าประเทศไทยส่งออกตึกด้วย
***นี่คือตึกที่สูง12ชั้น ที่ส่งออกทางเรือไปญี่ปุ่น
...ญี่ปุ่นสั่งสร้างตึกในไทย เนื่องจากต้นทุนในการก่อสร้างถูกกว่ามาก โดยเฉพาะต้นทุนค่าแรง เมื่อสร้างเสร็จก็ลำเลียงลงเรือ...เรียกว่า บรรทุกไปทั้งตึก... แล้วก็ไปลำเลียงขึ้นฝั่งที่ท่าเรือของญี่ปุ่นอีกครั้งหนึ่ง
...ขอบคุณภาพจากพี่นิพันธ์ เสมสันทัดจากบริษัท ไทยสตาร์ชัวร์ตี้..ซึ่งเป็นบริษัทโบรกเกอร์ประกันภัยที่ดูแลเรื่องประกันความเสี่ยงต่างๆ ตั้งแต่ขั้นตอนก่อสร้าง จนกระทั่งการขนส่งไปญี่ปุ่น
....นี่คือเรื่องหนึ่งของประเทศไทยในตอนนี้ ที่เป็นฝีมือของคนไทยล้วนๆ....
โดย :สิทธิ์ บ้านไทยแลนด์