ศูนย์วิจัยกสิกรไทย มองเศรษฐกิจไทยปี 2564 มีแนวโน้มเติบโตลดลงที่ 1.8% จากคาดการณ์เดิมที่ 2.6% จากผลกระทบของการแพร่ระบาดโควิดระลอกใหม่ ที่มีความรุนแรงกว่าระลอกก่อนหน้า ซึ่งความกังวลต่อสถานการณ์จะทำให้เกิดการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมของผู้คน รวมถึงความเชื่อมั่นที่ลดลงมีผลต่อการบริโภคครัวเรือนให้มีทิศทางต่ำกว่าที่ประเมิน
ทั้งนี้ประมาณการเศรษฐกิจใหม่ ได้รวมปัจจัยบวกจากแนวโน้มการส่งออกที่จะเติบโตดีกว่าที่เคยประเมิน จากอานิสงส์ของภาวะเศรษฐกิจโลกที่ฟื้นตัวดีกว่าคาด รวมถึงปัจจัยบวกจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจเข้าไปแล้ว โดยมีโครงการที่ยังดำเนินอยู่ เช่น โครงการเราชนะ และโครงการเรารักกันซึ่งจะสิ้นสุดวันที่ 31 พ.ค. 2564 ขณะที่ภาครัฐจะมีมาตรการต่อเนื่องเพื่อกระตุ้นการใช้จ่ายในประเทศภายใต้วงเงินกู้ 1 ล้านล้าน ซึ่งยังมีวงเงินคงเหลืออยู่ราว 2.4 แสนล้านบาท และยังมีงบกลางภายใต้ พรบ.งบประมาณปี 2564 ที่สามารถนำมาใช้ได้อีกราว 1.3 แสนล้านบาท
หากสถานการณ์ไม่เป็นไปตามที่คาด และยังมีความจำเป็นต้องมีมาตรการภาครัฐเพื่อดูแลผลกระทบที่เกิดจากการแพร่ระบาดของโควิดเพิ่มเติม โดยหากรัฐบาลพิจารณาแล้วเห็นสมควรมีการกู้เงินเพิ่มเติมเพื่อใช้ดูแลเศรษฐกิจ ก็อาจจะส่งผลให้ตัวเลข GDP ในปีนี้มีแนวโน้มสูงกว่า 1.8%
ดังนั้นการเร่งฉีดวัคซีนจึงเป็นตัวแปรสำคัญ หากล่าช้าการแพร่ระบาดจะยืดเยื้อหรืออาจเกิดขึ้นอีกระลอก ส่งผลต่อความเชื่อมั่นของนักท่องเที่ยวต่างชาติ และโอกาสที่การท่องเที่ยวจะทยอยฟื้นมาเป็นตัวขับเคลื่อนเศรษฐกิจล่าช้าออกไป ซึ่งศูนย์วิจัยกสิกรไทยประเมินว่า การระบาดของโควิดระลอกที่ 2 และ 3 ส่งผลให้มีจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติในช่วงครึ่งแรกของปี 2564 อยู่ที่ประมาณ 3.5 หมื่นคน และในกรณีที่การแพร่ระบาดยืดเยื้อหรือเกิดการระบาดรุนแรงอีกครั้งในไตรมาส 3 ศูนย์วิจัยกสิกรไทยคาดว่า เศรษฐกิจไทยปี 2564 มีแนวโน้มที่จะไม่เติบโตจากปีก่อนหน้า
นอกจากนี้การควบคุมสถานการณ์การแพร่ระบาดเป็นอีกหนึ่งภารกิจเร่งด่วน หากจำนวนผู้ติดเชื้อทะลุวันละ 1,000 คนต่อเนื่องหลายเดือน จะเกินขีดจำกัดในการรองรับผู้ป่วย อาจทำให้ภาวะระบบสาธารณสุขล่ม เศรษฐกิจไทยจะเผชิญต้นทุนแฝงที่ประเมินค่าไม่ได้ ต้นทุนการดำเนินชีวิตของประชาชนจะเพิ่มสูงขึ้น ผู้ป่วยธรรมดาไม่สามารถเข้าถึง ความเสียหายที่เกิดขึ้นอาจจะมีมากกว่าการบริโภคที่ลดลงและรายได้จากการท่องเที่ยวที่หายไป
ตลาดนักท่องเที่ยวต่างชาติครึ่งปีหลัง ยังเปราะบางสูง
แม้ทางการมีแผนเร่งฉีดวัคซีนให้กับคนในพื้นที่ท่องเที่ยว เพื่อให้สามารถเปิดรับนักท่องเที่ยวต่างชาติที่จะเดินทางมาท่องเที่ยวไทยตามแผนที่วางไว้ แต่ด้วยสถานการณ์ที่เปลี่ยนไป และปัจจัยแวดล้อมอุตสาหกรรมท่องเที่ยวยังมีความท้าทาย ส่งผลให้จำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติในปีนี้ น่าจะต่ำกว่าที่ประเมิน โดยคาดว่านักท่องเที่ยวต่างชาติเที่ยวไทยทั้งปี 2564 จะมีจำนวน 2.5 แสนคน – 1.2 ล้านคน โดยปรับลดประมาณการจากเดือนมีนาคม 2564 ที่มองว่าจะมีจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติเดินทางเข้ามาท่องเที่ยวในไทยประมาณ 2.0 ล้านคน

และแม้ว่าไทยจะควบคุมการระบาดในประเทศได้ ก็ยังขึ้นอยู่กับการระบาดในต่างประเทศ รวมถึงนโยบายการสนับสนุนการเดินทางท่องเที่ยวระหว่างประเทศในแต่ละประเทศ ที่สำคัญโควิดที่ระบาดเป็นระยะเวลานาน ย่อมส่งผลกระทบต่อกิจกรรมเศรษฐกิจและกำลังซื้อ ทำให้ความสามารถในการเดินทางท่องเที่ยวต่างประเทศของนักท่องเที่ยวบางกลุ่มลดลง
กรณีเลวร้าย : แม้ทางการไทยจะสามารถควบคุมการระบาดระลอกนี้ได้ในช่วงครึ่งแรกของปีนี้ แต่ก็ยังมีความเสี่ยงที่จะเกิดการระบาดในประเทศได้อีก เนื่องจากโควิดทั้งในและต่างประเทศยังไม่ยุติในระยะเวลาอันใกล้ ขณะที่การฉีดวัคซีนในประเทศยังทำได้จำกัดฉพาะพื้นที่ ทำให้ต้องระวังการผ่อนคลายเงื่อนไขการลดจำนวนวันกักตัวสำหรับนักท่องเที่ยวต่างชาติ ภายใต้สมมติฐานนี้ คาดว่า จำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติในปี 2564 น่าจะอยู่ที่ประมาณ 2.5 แสนคน ขณะที่รายได้ท่องเที่ยวจากนักท่องเที่ยวต่างชาติน่าจะอยู่ที่ประมาณ 2.5 หมื่นล้านบาท
กรณีดีสุด: มองว่าในช่วงครึ่งหลังของปี 2564 ประเทศไทยจะไม่มีการระบาดระลอกใหม่ ขณะที่ต่างประเทศการระบาดมีจำนวนลดลงต่อเนื่อง การฉีดวัคซีนให้กับประชาชนในประเทศครอบคลุม และได้ผลเป็นที่น่าพอใจ ซึ่งจะช่วยสร้างความเชื่อมั่นให้กับประชาชน และทางการคงสามารถผ่อนคลายเงื่อนไขการกักตัวและเปิดรับให้นักท่องเที่ยวชาวต่างชาติเพิ่มมากขึ้น รวมถึงการทำ Travel Bubble กับกลุ่มที่มีความเสี่ยงต่ำ อาทิ สิงคโปร์ ฮ่องกง ไต้หวัน เวียดนาม เป็นต้น
ภายใต้สมมติฐานนี้ อาจเห็นจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติที่ประมาณ 1.2 ล้านคน ขณะที่การใช้จ่ายของนักท่องเที่ยวน่าจะอยู่ที่ประมาณ 1.2 แสนล้านบาท โดยจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติน่าจะเร่งตัวขึ้นในช่วงไตรมาสสุดท้ายของปี 2564 ซึ่งจะเป็นฤดูกาลท่องเที่ยวของหลายๆ ประเทศ
ทั้งนี้ การปรับลดประมาณการของตลาดนักท่องเที่ยวต่างชาติเที่ยวไทยในช่วงที่เหลือของปี 2564 สะท้อนให้เห็นถึงปัจจัยแวดล้อมของตลาดการท่องเที่ยวที่ยังมีความไม่แน่นอนสูง ซึ่งขึ้นอยู่กับความร่วมมือของภาคส่วนต่างๆ ที่ต้องเฝ้าระวังและรักษาระดับมาตรฐานการป้องกันการระบาดของโควิดที่เข้มงวด
จะเห็นได้ว่า ในประเทศที่สามารถควบคุมการระบาดของโรคโควิด-19 ได้ กลับมาเปิดรับนักท่องเที่ยวต่างชาติอีกครั้ง เช่น ออสเตรเลียและนิวซีแลนด์ ทำ Travel Bubble โดยที่นักท่องเที่ยวจากทั้ง 2 ประเทศไม่ต้องกักตัว และออสเตรเลียเตรียมทำ Travel Bubble กับสิงคโปร์ เป็นต้น
สำหรับกลุ่มนักท่องเที่ยวต่างชาติที่น่าจะเดินทางเข้ามาท่องเที่ยวในไทย เช่น นักท่องเที่ยวจากภูมิภาคยุโรป ซึ่งเป็นกลุ่มประเทศที่มีการผ่อนคลายมาตรการเดินทางระหว่างประเทศมากที่สุด รวมไปถึงประเทศในแถบภูมิภาคเอเชียตะวันออก เช่น จีน (เป็นกลุ่มเดินทางท่องเที่ยวเอง สำหรับการเดินทางท่องเที่ยวแบบกรุ๊ปทัวร์ ขึ้นอยู่กับนโยบายการเดินทางท่องเที่ยวระหว่างประเทศของทางการจีน) ญี่ปุ่น และเกาหลีใต้ และนักท่องเที่ยวจากอเมริกา เป็นต้น