AIA เผยผลสำรวจครัวเรือนไทยได้รับผลกระทบด้านสถานะทางการเงินจากโควิด 19 ระบาดสูงกว่าประเทศอื่นในเอเชีย

0
39

รายงานการสำรวจ AIA Save Smarter Study 2021 ของกลุ่มบริษัทเอไอเอ ที่ได้ทำการสำรวจผู้เอาประกันภัยทั้งสิ้น 7,400 คนที่มีอายุตั้งแต่ 25 ปีขึ้นไป ในภูมิภาคเอเชียรวม 8 แห่ง ประกอบด้วยจีนแผ่นดินใหญ่ ฮ่องกง อินโดนีเซีย มาเลเซีย ฟิลิปปินส์ สิงคโปร์ ไทย และเวียดนาม ได้เปิดเผยถึงผลการสำรวจในกลุ่มคนไทยจำนวน 1,000 คน ที่ได้รับผลกระทบของโรคโควิด 19 ที่มีต่อการออมในภาคครัวเรือนของคนไทย พบว่า คนไทยได้รับผลกระทบต่อรายได้และสถานะทางการเงินมากกว่าอีก 7 ประเทศที่ทำการสำรวจในครั้งนี้ โดย 82% ระบุว่า รายได้ของพวกเขาได้รับผลกระทบในทางลบ ซึ่งเมื่อเทียบกับค่าเฉลี่ยในภูมิภาคจะอยู่ราว  66% และ 79% รู้สึกว่า สถานการณ์โควิด 19 ส่งผลกระทบต่อสถานะทางการเงินของพวกเขา ในขณะที่ผลจากการสำรวจในทุกประเทศอยู่ที่ 64%  นอกจากนี้ 33% มีรายได้เฉลี่ยในประเทศไทยลดลงสูงกว่าประเทศอื่นๆ และอีก 22% ของผู้ตอบแบบสอบถามรายงานว่า รายได้ของตนลดลงมากกว่าครึ่งหนึ่งจากรายได้เดิม 

กฤษณ์ จันทโนทก ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร เอไอเอ ประเทศไทย

นายกฤษณ์ จันทโนทก ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร เอไอเอ ประเทศไทย กล่าวว่า จากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด 19 ตั้งแต่เมื่อปี 2563 ต่อเนื่องมาจนถึงปัจจุบัน ได้ส่งผลกระทบต่อผู้คนทั่วโลกทั้งในด้านชีวิตความเป็นอยู่ การประกอบอาชีพ รวมถึงด้านเศรษฐกิจ กลุ่มบริษัทเอไอเอ มีความห่วงใยอย่างยิ่งต่อสถานการณ์ดังกล่าว และด้วยเป้าหมายที่เรามุ่งมั่นสนับสนุนให้ผู้คนนับล้านมีสุขภาพและชีวิตที่ดีขึ้น ตามคำมั่นสัญญา ‘Healthier, Longer, Better Lives’ จึงเป็นที่มาในการทำการสำรวจ AIA Save Smarter Study 2021

โดยผลการสำรวจสะท้อนให้เห็นว่า ภายใต้วิกฤตการณ์ครั้งนี้ผู้บริโภคส่วนใหญ่เต็มใจที่จะละทิ้งแผนการใช้เงินออมสำหรับอนาคต และเปลี่ยนมาให้ความสำคัญกับการปกป้องตนเองจากสิ่งที่ไม่คาดฝัน จากเหตุการณ์นี้เองทำให้ผู้คนเลือกเก็บเงินสดไว้ในธนาคาร อย่างไรก็ตาม เอไอเอ มีความมุ่งมั่นที่จะนำเสนอทางเลือกในการวางแผนทางการเงินและการบริหารความเสี่ยงจากเหตุการณ์ไม่คาดคิดอย่างมีประสิทธิภาพและเหมาะสมกับสถานการณ์ในปัจจุบันสำหรับผู้บริโภค ผ่านผลิตภัณฑ์ประกันชีวิต ประกันสุขภาพ และประกันชีวิตควบการลงทุน (ยูนิต ลิงค์) ที่สามารถมอบความอุ่นใจให้แก่ผู้บริโภคได้มากขึ้น ด้วยผลตอบแทนที่มั่นคงในระยะยาว และยังป้องกันความเสี่ยงด้านสภาพคล่องไว้ได้อีกด้วย ซึ่งทั้งหมดนี้ก็เป็นไปตามคำมั่นสัญญาของเอไอเอ นั่นคือเราต้องการช่วยให้ผู้คนมีสุขภาพและชีวิตที่ดีขึ้น

ตั้งใจเก็บเงินไว้ใช้ยามฉุกเฉินโดยขาดการวางแผนที่รอบคอบ

ผลกระทบต่อสถานะทางการเงินที่สำคัญจากการแพร่ระบาดของโรคโควิด19 ในประเทศไทยผลักดันให้เกิดการเปลี่ยนแปลงที่มีนัยสำคัญในการออมภาคครัวเรือนของผู้บริโภค ในขณะที่คนไทย 57% กล่าวว่า พวกเขาถูกบีบบังคับจากสถานการณ์ทำให้จำเป็นต้องลดการออมลงในปี 2563(สูงสุดในบรรดาประเทศที่สำรวจทั้งหมด) ซึ่ง 83% เห็นด้วยว่า พวกเขาวางแผนที่จะกันเงินออมเพิ่มขึ้นจากความหวาดกลัวและความไม่มั่นคงอันเกิดจากการแพร่ระบาดครั้งใหญ่นี้ และ 45% ของกลุ่มตัวอย่าง ยืนยันว่าพวกเขาวางแผนที่จะเพิ่มเงินออมในปี 2564 โดยมีเพียง 11% ที่วางแผนจะเพิ่มเงินออมของพวกเขาในอัตราส่วนที่มากกว่า 50%

การศึกษายังแสดงให้เห็นว่า แนวโน้มและวัตถุประสงค์ในการออมของภาคครัวเรือนกำลังเปลี่ยนแปลง การจัดการความไม่แน่นอนได้กลายเป็นเป้าหมายใหม่ที่สำคัญสำหรับการออมโดยมุ่งเน้นที่การเข้าถึงกองทุนเงินสำรองฉุกเฉินมากขึ้น โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อเตรียมความพร้อมสำหรับการใช้จ่ายยามฉุกเฉิน(71%) การค้ำประกันความมั่นคงทางการเงินให้กับตัวเองและครอบครัวในกรณีเกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝัน(60%) รวมถึงความคุ้มครองค่ารักษาพยาบาลและการเตรียมตัวเพื่อการเกษียณ (54%) ถือเป็นเป้าหมายอันดับต้นๆ ของการออมในประเทศไทย

วิธีบรรลุเป้าหมายที่หลากหลายของการออมในภาคครัวเรือนที่เพิ่มขึ้นนั้นถือเป็นความท้าทายที่สำคัญ คนไทย 44% ออมเงินที่มีอยู่หลังหักค่าใช้จ่ายโดยไม่มีแผนการออมเชิงรุก ซึ่งเป็นอัตราส่วนที่สูงที่สุดในกลุ่มประเทศทั้งหมดที่ทำการสำรวจ 16% กันเงินออมไว้ในจำนวนที่แน่นอน 19% เริ่มกำหนดเป้าหมายการออม และ 21% ระบุเป้าหมายการออมและกันเงินออมเพื่อให้บรรลุเป้าหมาย โดยธนาคารยังคงเป็นช่องทางที่ได้รับความนิยมสูงสุดในการออม มากกว่า 9 ใน 10 ของกลุ่มตัวอย่าง (92%) ในไทย ยังนิยมคงสภาพคล่องในการออมผ่านการฝากเงินไว้ในธนาคาร และเกือบหนึ่งในสี่ของผู้ฝากเงินไว้กับธนาคารนั้น (22%) ไม่มีเงินออมในช่องทางอื่น ๆ อีกเลย

ความสำคัญของการประกันภัยเพื่อความคุ้มครองและการออม

ผลกระทบเพิ่มเติมของการระบาดใหญ่ครั้งนี้ คือผู้บริโภคหันมาให้ความสนใจในการทำประกันภัยมากขึ้น โดย 85% ของผู้ตอบแบบสอบถามชาวไทยเห็นด้วยว่าการประกันภัยมีความสำคัญมากกว่าที่ผ่านมา ในการให้ความคุ้มครองที่ดีขึ้นในกรณีที่เกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝัน บอกว่าพวกเขาวางแผนที่จะเพิ่มการจัดสรรเงินทุนเพื่อการทำประกัน 16% ส่วนในจำนวนคนไทยที่วางแผนจะเพิ่มการใช้จ่ายในการทำประกันนั้น 58% ระบุว่าพวกเขาวางแผนที่จะใช้จ่ายมากขึ้นในการประกันชีวิตด้วยการออม และ ตั้งใจที่จะใช้จ่ายมากขึ้นในการทำประกันเพื่อคุ้มครองค่ารักษาพยาบาลและสุขภาพ 56%

ผลกระทบทางอารมณ์จากสถานการณ์โควิด 19

ความกลัวและความไม่แน่นอนที่มีผลกระทบต่อความเป็นอยู่ที่ดี เป็นตัวกระตุ้นให้ธุรกิจประกันภัยได้รับความนิยมมากขึ้น โดย 74% ของผู้ตอบแบบสำรวจในประเทศไทยกล่าวว่าโควิด 19 ส่งผลในแง่ลบต่อชีวิตทางสังคมของพวกเขาในปี 2563 และ 54% เชื่อว่ายังส่งผลเสียต่อสุขภาพของพวกเขาอีกด้วย ยิ่งไปกว่านั้น ผลกระทบจากสถานการณ์โควิด 19 ที่มีผลต่อสุขภาพทั้งทางการเงินและส่วนบุคคลมีแนวโน้มที่จะยังไม่สิ้นสุดในเร็ว ๆ นี้ โดย 89% เชื่อว่าโควิด 19 จะคงอยู่หลังจากเดือนมิถุนายน 2564 และ 26% เชื่อว่าจะคงอยู่จนถึงปี 2566 หรือนานกว่านั้น

“อย่างไรก็ดี เราอยากให้คนไทยมั่นใจว่า เอไอเอ จะยังคงอยู่เคียงข้างและพร้อมสนับสนุนให้ประชาชนทั่วประเทศ มีความคุ้มครองด้านชีวิตและสุขภาพที่เพียงพอ เพื่อป้องกันความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต โดยเรามีตัวแทนประกันชีวิตที่กระจายอยู่ทั่วทุกภูมิภาคกว่า 50,000 ท่าน ซึ่งสามารถให้คำปรึกษาและช่วยวางแผนทางการเงินให้กับคนไทย เพื่อสุขภาพและชีวิตที่ดีขึ้นอย่างยั่งยืน ผมในนามของเอไอเอ ประเทศไทย ขอเป็นกำลังใจให้คนไทยก้าวผ่านวิกฤตครั้งนี้ไปด้วยกันอย่างแข็งแรงทั้งกายและใจ” นายกฤษณ์กล่าวทิ้งทา

ทิ้งคำตอบไว้

กรุณาใส่ความคิดเห็นของคุณ!
กรุณาใส่ชื่อของคุณที่นี่