PTG เผยแผน 5 ปี ทรานฟอร์มสู่ Co-Created Ecosystem

0
273

PTG เปิดแผนทรานฟอร์มธุรกิจจาก Oil และ Non-oil สู่ธุรกิจ Co-Created Ecosystem ลุย 8 ธุรกิจหลักสร้างการเติบโตแบบมั่นคงและยั่งยืน  ทุ่มงบฯปีละ 2,000 ล้าน เสริมแกร่ง Non-oil  ทยอยดันบริษัทย่อยเข้าตลาดหลักทรัพย์  เตรียมลงสนามโลกการเงินแห่งอนาคต จับมือพันธมิตรลุยธุรกิจนายหน้าสินทรัพย์ดิจิตอล  

 นายพิทักษ์ รัชกิจประการ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ. พีทีจี เอ็นเนอยี(PTG) เปิดเผยถึง แผนธุรกิจ 5 ปีว่า PTG จะทรานฟอร์มธุรกิจจาก Oil และ Non-oil เป็นธุรกิจ Co-Create Ecosystem  ด้วย 8 ธุรกิจหลักที่จะสนับสนุนการเติบโต ประกอบด้วย 1)ธุรกิจน้ำมันและแก๊ซ 2)ธุรกิจอาหารและเครื่องดื่ม 3)ธุรกิจ Retail แบบที่เป็น Offline to Online 4)ธุรกิจขับเคลื่อนยานยนต์โลจิสติกส์และซัพพลายเชน 5)ธุรกิจซ่อมบำรุง  6)ธุรกิจสุขภาพ เพื่อรองรับสังคมสูงวัย 7)ธุรกิจ Digital Platform ทั้งการเงินและ Lifestyle 8)พลังงานหมุนเวียน พลังงานสะอาด

“ธุรกิจเหล่านี้เป็น“เมกะเทรนด์” ที่จะสนับสนุนให้กำไรจากธุรกิจ Non-oil เพิ่มขึ้นเป็น 50% ในปี 2569 และจะช่วยส่งเสริมให้ธุรกิจเดิมของ “พีที” แข็งแรงขึ้น ช่วยให้ลูกค้ามีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น ผ่านการใช้สินค้าและบริการภายใต้เครือข่ายของพีทีทั้งพันธมิตรจากภายในและภายนอก ภายใต้รูปแบบการบริหารสร้างเครือข่ายร่วมกับพันธมิตร  Co-Created Ecosystem”

โดยคาดหวังว่าการขยับธุรกิจสู่ Co-Created Ecosystem ในอีก 5 ปี ข้างหน้า จะสามารถสร้าง Touchpoint หรือคะแนนสะสมเพื่อแลกสินค้า เพิ่มเป็น 268,202 Touchpoint  แบ่งเป็น oil  2,694 Touchpoint และ Non-oil 265,508 Touchpoint  จากปีนี้ที่เป็น Oil  2,114 จุด มาทั้งจาก Offline to online และ Touch point อื่นๆ เช่น พาทัวร์  200,000 Touch point และคาดว่าจะมีร้านค้าที่จะเข้ามาเป็นพันธมิตร 60,000 โชห่วย  ร้านกาแฟจะมี 3,000 สาขา รวมถึง Platform partners ต่างๆและจะมีการ Redeem แต้มสูงถึง 10,000 ล้านแต้ม และมีจำนวนสมาชิก 30 ล้านสมาชิก ทั้งออนไลน์และออฟไลน์โดยเป็นผู้ใช้งานบนออนไลน์ 25%  

นอกจากนี้ยังทรานฟอร์มไปสู่ดิจิทัลแพลตฟอร์ม ที่เพิ่มความสะดวกสบายในการใช้บริการ โดยเชื่อมต่อกับบริการอื่นๆ อย่าง บริการทางด้านการเงิน (financial service) เช่นกระเป๋าเงินอิเล็กทรอนิกส์ (e-wallet, lending), auto insurance และ lifestyle app เช่น พาทัวร์ และในอนาคต จะขยายธุรกิจไปต่างประเทศ เป็น Global Company  

อัดงบฯเสริมแกร่ง เพิ่มกำไร Non-Oil

ทยอยดันบริษัทลูกเข้าตลาดหลักทรัพย์

โดยคาดว่าจะใช้งบลงทุนสำหรับธุรกิจ Non-oil ปีละประมาณ 1,500-2,000 ล้านบาท และจะขยายผ่านสาขาและ Touchpoint รวมถึงร่วมกับพาร์ทเนอร์หรือร่วมทุนกับบริษัทอื่นๆหรือการเข้าลงทุนในบริษัท Startup ต่างๆโดยทุกธุรกิจทั้งหมดจะดำเนินการภายใต้ Max World ที่มีสมาชิกกว่า 17 ล้านคนเพิ่มจากปีก่อนอยู่ที่ 14.5 ล้านคน และปีนี้คาดว่าจะเพิ่มขึ้นเป็น 20 ล้านคน

สำหรับเป้าหมายในปี 2565  นายพิทักษ์คาดว่าการจำหน่ายน้ำมันยังเติบโต 8-12%  จากสิ้นปีก่อนปริมาณจำหน่ายน้ำมันอยู่ที่ 5,020 ล้านลิตร ปริมาณจำหน่ายแก๊ส LPG เติบโต 50-60% ขณะที่ Non-Oil  มุ่งขยายสาขาอย่างต่อเนื่องโดยคาดว่ารายได้จะโตขึ้น 80-90%  ใช้เงินลงทุนประมาณ 3,000-4,000 ล้านบาท ในการยายสาขาสถานีบริการน้ำมันและแก๊ส LPG 80-100 สาขา Non-Oil Touchpoint ประมาณ 1572 สาขา

โดยคาดว่าปริมาณการจำหน่วยก๊าซ LPG จะเติบโต 50-60% ตามสาขา Gas Shops ที่เพิ่มอีก 80 สาขา จากปี 2564 ที่มีอยู่แล้ว 178 สาขา  Kiosk Shops เพิ่มอีก 100 สาขา จาก 443 สาขาในปี 2564  และโรงบรรจุก๊าซ จาก 20 สาขา เพิ่มเป็น 40 สาขาในปีนี้  รวมไปถึงการขยายธุรกิจไปสู่การซ่อมและผลิตถัง รวมทั้งการขยายตลาดใหม่ๆไปในหลายประเทศในภูมิภาค  และอีกหนึ่งไฮไลท์คือการออกถังใหม่ (New SKU) ถังสแตนเลสแท้น้ำหนักเบาที่สุด ภายในเดือน เม.ย. 2565 นี้

นอกจากนี้  ยังเตรียมความพร้อมนำธุรกิจก๊าซ LPG บริษัท แอตลาส เอ็นเนอยี จำกัด และธุรกิจน้ำมันปาล์ม บริษัท พีพีพี กรีน คอมเพล็กซ์ จำกัด เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ เพื่อนำเงินระดมทุนมาใช้เป็นทุนหมุนเวียน  โดยคาดว่าจะเห็นความชัดเจนภายในปี 2565 นี้ 

“ แผน 5 ปี ของเรามีเป้าหมายในการพัฒนาธุรกิจจาก Oil ขยับไปสู่ Non-Oil ให้เป็นสัดส่วน 50: 50 ภายในปี 2569 เพื่อรองรับเมกะเทรนด์ ที่ให้ความสำคัญกับธุรกิจที่เติบโตอย่างยั่งยืน เชื่อมให้ทุกคนมีโอกาสเข้าถึงชีวิตที่ “อยู่ดี มีสุข” โดยจะต้องมีธุรกิจใหม่ไม่น้อยกว่า 15-20% และเป็นธุรกิจที่สามารถขยายและเติบโตได้ในต่างประเทศ   ซึ่งเรามีกระเเสเงินสดปีละ 4,000-5,000 ล้านบาท  พร้อมจะลงทุนในธุรกิจที่มีโอกาสซึ่งมีอีกหลายธุรกิจ” นายพิทักษ์กล่าว

ลงสนามโลกการเงินแห่งอนาคต

ตั้ง Maxbit นายหน้าสินทรัพย์ดิจิตอล

นายพิทักษ์ กล่าวถึงการร่วมกับพาร์ทเนอร์หรือบริษัทอื่นๆในการเข้าลงทุนในบริษัท Startup ต่างๆในระยะกลางและระยะยาว จะขับเคลื่อนโดย  บริษัทแมกซ์เวนเจอร์ โดยการเข้าไปลงทุนในโปรเจคต่างๆ เช่น Nex Pharma, Pavitree พาทัวร์ และ 360Truck ซึ่งเป็น Platform ในการ match รถบรรทุกที่ว่างกับผู้ที่ต้องการว่าจ้างงาน ซึ่งเรามองเห็นโอกาสในการเติบโตของ Platform นี้ และจะทำให้ “Max World”  แข็งแรงขึ้นและเป็น Enabler ที่ช่วยให้ธุรกิจต่างๆที่กล่าวมาเติบโตขึ้นรวมถึงสร้าง New Business ใหม่ๆ ซึ่งบริษัทวางเป้าขยายไปยังธุรกิจใหม่ๆ ปีละ 3-5 ธุรกิจ

นอกจากนี้  ยังได้เตรียมแผนรุกธุรกิจนายหน้าสินทรัพย์ดิจิทัล (Digital Asset Broker) โดยร่วมมือกับพันธมิตร ตั้งบริษัทร่วมทุน บริษัท แมกซ์บิท ดิจิทัล แอสเซท จำกัด โดย PTG ถือหุ้นในสัดส่วน 35% ซึ่งปัจจุบันอยู่ระหว่างการหารือกับสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.)  คาดว่าจะแล้วเสร็จและมีความชัดเจนภายในสิ้นปี 2565 และมั่นใจว่าเป็นอีกหนึ่งในธุรกิจที่สามารถเพิ่มกำไรให้  Non-oil

นายรังสรรค์ พวงปราง ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท พีทีจี เอ็นเนอยี จำกัด (มหาชน) หรือ PTG เปิดเผยว่า บริษัทได้รับใบอนุญาติประกอบธุรกิจด้านสินทรัพย์ดิจิทัล ในลักษณะแพลตฟอร์มผู้ค้าโทเคน จำนวน 4 ไลน์เซ่น ประกอบด้วย e-Money, รับชำระแทน, โอนเงินทางอิเล็กทรอนิค และตัวแทนผู้ออกบัตร ซึ่งเป็นระบบพื้นฐานให้เราก้าวออกจาก Physical ไปสู่ Digital ได้เร็วขึ้น  ซึ่งในอนาคตจะมีการเชื่อมบริการภายในสถานีบริการน้ำมัน  รวมไปถึงความร่วมมือกับพันธมิตรทั้งในประเทศและต่างประเทศต่อไป

ทิ้งคำตอบไว้

กรุณาใส่ความคิดเห็นของคุณ!
กรุณาใส่ชื่อของคุณที่นี่