ผลกระทบภาวะโลกรวน (Climate Change) ที่ทวีความรุนแรง ส่งผลให้ทั่วโลกตื่นตัวเรื่องการให้ความสำคัญกับสิ่งแวดล้อม สังคม ธรรมาภิบาล (Sustainability/ESG) ซึ่งภาคธุรกิจจำเป็นต้องศึกษา พิจารณาผลกระทบจากทางเลือกต่างๆ ที่จะนำมาประยุกต์ใช้ ซึ่งภายใต้ทรัพยากรทางการเงินที่มีจำกัดและความไม่แน่นอนของบริบทแวดล้อม ศูนย์วิจัยกสิกรไทย มองว่าในช่วงแรกธุรกิจส่วนใหญ่จะหลีกเลี่ยงความเสี่ยงจากการลงทุน โดยเลือกทางที่ใช้เงินทุนไม่มาก มีความคล่องตัว แล้วค่อยๆเพิ่มตามความจำเป็น
การให้ความสำคัญกับสิ่งแวดล้อม สังคม ธรรมาภิบาล (Sustainability/ESG) มีการกำหนดเป้าหมายการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (ปริมาณการปล่อยเท่ากับการดูดซับ/กักเก็บ) และมาตรการต่างๆ เพื่อสนับสนุนให้ทุกภาคส่วนร่วมกันขับเคลื่อน เช่น การเก็บค่าธรรมเนียมคาร์บอนข้ามพรมแดนของสหภาพยุโรปและอีกหลายๆประเทศ การใช้กลไกอัตราภาษีต่อการผลิตสินค้าและบริการอย่างภาษีสรรพสามิตหรือภาษีคาร์บอน การกำหนดคำนิยามกลางและแนวปฏิบัติเพื่อส่งเสริมการปรับตัว เป็นต้น ขณะเดียวกัน ผู้บริโภคยุคใหม่ก็ให้ความสนใจและบางกลุ่มยินดีจ่ายแพงกว่าปกติเพื่อซื้อสินค้าและบริการที่ถูกผลิตและออกแบบอย่างใส่ใจเรื่องความยั่งยืน
ในประเด็นความยั่งยืน แม้ธุรกิจส่วนหนึ่งได้ตระหนักและเริ่มดำเนินการบ้างแล้ว แต่สำหรับธุรกิจส่วนใหญ่นับว่ายังเป็นเรื่องใหม่ ในด้านหนึ่งอาจเป็นโอกาสใหม่ในการสร้างรายได้ แต่ในทางตรงข้าม เป็นความท้าทายต่อความสามารถในการแข่งขัน
ศูนย์วิจัยกสิกรไทย มองว่า ภาคธุรกิจจะมีทางเลือกเพื่อรับมือต่อประเด็นความยั่งยืนที่แตกต่างกันไป ขึ้นอยู่กับ
ปัจจัยภายใน อาทิ ความพร้อมของกิจการทั้งความรู้ความเข้าใจ สภาพคล่องและเงินลงทุน เป็นต้น
ปัจจัยภายนอก ไม่ว่าจะเป็น ฐานลูกค้า มาตรการของคู่ค้าและทางการ การเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยีที่เกี่ยวข้อง เป็นต้น ซึ่งแต่ละธุรกิจคงต้องชั่งน้ำหนักถึงผลบวกและผลกระทบที่จะเกิดขึ้นจากบริบทแวดล้อมที่เปลี่ยนแปลงไป รวมทั้งผลที่จะตามมาจากการลงทุนเพื่อปรับเปลี่ยนกระบวนการต่อผลการดำเนินการในช่วงเวลาต่างๆ ว่าคุ้มค่าหรือไม่และมากน้อยเพียงใด
ทั้งนี้ อาจจำแนกทางเลือกในการดำเนินการเพื่อรับมือต่อประเด็นความยั่งยืน ในเบื้องต้นตามระดับความเข้มข้นของการปรับตัวของภาคธุรกิจ ดังนี้
- ทำตามวิถีเดิม เพราะเป็นเรื่องไกลตัว ยังมาไม่ถึง : ทางเลือกนี้ ไม่มีค่าใช้จ่ายเกิดขึ้น แต่อาจแลกมาด้วยความเป็นไปได้ที่ธุรกิจจะสูญเสียตลาดหรือฐานลูกค้าในระยะถัดไป เมื่อคู่ค้าโดยเฉพาะตลาดนำเข้าหลักอย่างสหภาพยุโรป หันไปเลือกค้าขายกับผู้ประกอบการรายอื่นที่มีการดูแลประเด็นนี้มากกว่า หรือธุรกิจอาจจะถูกกระทบมากหากมาตรการฯของคู่ค้าขยายขอบเขตมาครอบคลุมกลุ่มสินค้ามากขึ้น จากระยะแรกที่กำหนดสินค้าเข้าข่ายบางรายการ เช่น เหล็ก อะลูมิเนียม ซีเมนต์ เป็นต้น รวมทั้งธุรกิจอาจมีต้นทุนระดมเงินทุนที่แพงขึ้นหากกิจการมีการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสูง เมื่อการปล่อยกู้ของสถาบันการเงินต้องดำเนินการตาม Green Taxonomy and Guideline ของทางการในอนาคต
- ซื้อคาร์บอนเครดิต เพื่อให้ผ่านเกณฑ์ที่คู่ค้ากำหนดไว้ : ทางเลือกนี้มีค่าใช้จ่ายเกิดขึ้นแปรผันตามปริมาณคาร์บอนเครดิตที่กิจการต้องใช้ คูณกับราคาซื้อขายคาร์บอนเครดิตในตลาดที่น่าจะผันผวนในทิศทางที่เพิ่มขึ้น โดยเฉพาะแนวโน้มระยะใกล้นี้ที่ผู้ขายคาร์บอนเครดิตยังมีจำนวนที่น้อยกว่าความต้องการใช้คาร์บอนเครดิตอยู่มาก โดยราคาคาร์บอนเครดิตในตลาดซื้อขายของ EU ETS อยู่ที่ราว 85.5 ยูโรต่อตัน ณ 24 มกราคม 2566 ซึ่งทางเลือกนี้ ทำให้ธุรกิจสามารถขายสินค้าให้กับคู่ค้าได้แต่ก็จะมีต้นทุนสูงขึ้นหรือต้นทุนมีความไม่แน่นอนตามความผันผวนของราคาคาร์บอนเครดิตในตลาด
- ปรับเปลี่ยนบางกิจกรรม และใช้ทรัพยากรอย่างคุ้มค่า เช่น การผลิตไฟฟ้าจากพลังงานสะอาด ประหยัดการใช้ไฟฟ้า ใช้รถยนต์พลังงานไฟฟ้าแทนรถน้ำมัน การจัดการเส้นทางการขนส่งให้สูญเสียน้อยที่สุด การบำบัดน้ำเสีย การรีไซเคิลวัสดุอุปกรณ์ เป็นต้น : ทางเลือกนี้มีค่าใช้จ่ายเกิดขึ้นในวิสัยที่ธุรกิจส่วนใหญ่ดำเนินการได้ภายใต้ต้นทุนที่ไม่สูงจนเกินไป อย่างไรก็ตาม ทางเลือกนี้จะทำให้ธุรกิจได้การดูดซับ/กักเก็บก๊าซเรือนกระจกในปริมาณมากสำหรับช่วงที่เริ่มดำเนินการปรับเปลี่ยนกิจกรรม แต่อาจจะค่อยๆลดลงเมื่อเวลาผ่านไป นอกจากนี้ การปลูกป่าอาจเป็นทางเลือกเช่นกัน แต่ต้องมีพื้นที่ที่เหมาะสมและป่าต้องเติบโตระดับหนึ่งแล้ว
- ลงทุนเปลี่ยนกระบวนการผลิตมุ่งสู่ความยั่งยืน : ทางเลือกนี้ ธุรกิจใช้เงินลงทุนสูงกว่าทางเลือกอื่นๆ และยังมีความเสี่ยงสูงมากหากระดับเทคโนโลยีในกระบวนการผลิตเปลี่ยนแปลงเร็ว ในทางกลับกัน ถ้าเป็นผู้นำในการเปลี่ยนแปลง จะเปิดโอกาสในการได้ฐานลูกค้ามากกว่าผู้ประกอบการอื่นๆ หรือได้ส่วนแบ่งตลาดเพิ่มขึ้น รวมทั้งมีผลบวกด้านภาพลักษณ์หรือแบรนด์ ตลอดจนโอกาสในการเข้าถึงต้นทุนทางการเงินที่น่าจะถูกกว่า
4 ทางเลือกเบื้องต้นสำหรับภาคธุรกิจในการรับมือกับประเด็นความยั่งยืน
ค่าใช้จ่าย | โอกาส | หมายเหตุ | ตัวอย่าง | |
ทำตามวิถีเดิม | ไม่มีในระยะแรก | ส่วนแบ่งตลาดลดลงเมื่อเวลาผ่านไป | เกณฑ์คู่ค้าและทางการ ส่งผลกระทบต่อความสามารถในการแข่งขันที่ด้อยลง | ผลิตและส่งออกเหล็ก อะลูมิเนียมไปตลาดยุโรป ซึ่งจะเริ่มถูกเก็บค่าธรรมเนียมคาร์บอนหากเกินเกณฑ์ในปี 2569 |
ซื้อคาร์บอนเครดิต | น้อยถึงปานกลาง | รักษาส่วนแบ่งตลาด | ราคาคาร์บอนเครดิตในตลาดซื้อขายอาจผันผวนในทิศทางที่สูงขึ้น เนื่องจากยังมีความไม่สมดุลของผู้ขายกับผู้ซื้อคาร์บอนเครดิต | ซื้อคาร์บอนเครดิตในตลาดซื้อขายคาร์บอน เพื่อให้ผ่านเกณฑ์ |
ปรับบางกิจกรรม และใช้ทรัพยากรอย่างคุ้มค่า | น้อยถึงปานกลาง | รักษาส่วนแบ่งตลาด | ค่าใช้จ่ายและโอกาสอาจจะสูงในช่วงแรกของการดำเนินการปรับกิจกรรม | ปรับกิจกรรมอื่นๆ เพื่อให้ได้คาร์บอนเครดิตสะสม จนผ่านเกณฑ์ |
ปรับกระบวนการผลิต | มาก | ส่วนแบ่งตลาดน่าจะเพิ่มขึ้น | ค่าใช้จ่ายสูง และอาจเสี่ยงสูงถ้าเทคโนโลยีไม่นิ่ง จึงต้องประเมินความคุ้มค่ากับโอกาสที่เพิ่มขึ้นจากความสามารถในการแข่งขัน | ลงทุนปรับเปลี่ยนเครื่องจักรหรือใช้เทคโนโลยีในการผลิตใหม่ที่ได้คาร์บอนต่ำ |
4 ทางเลือกดังกล่าว เป็นเพียงแนวทางเบื้องต้นสำหรับการวางแผนรับมือกับประเด็นความยั่งยืน โดยในลำดับแรก เพื่อให้เป็นไปตามเกณฑ์คู่ค้า ภาคธุรกิจอาจจำเป็นต้องรู้ก่อนว่ากิจการของตนปลดปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเท่าใด และจะมีปัจจัยหนุนหรือถูกกระทบจากมาตรการทั้งในและต่างประเทศอย่างไร จากนั้นศึกษาทุกปัจจัยแวดล้อมที่เกี่ยวข้องอย่างละเอียดรอบคอบ เพื่อตัดสินใจเลือกแนวทางที่เหมาะสมที่สุดในแต่ละช่วงเวลา ซึ่งอาจไม่จำเป็นต้องใช้ทางเลือกใดทางเลือกหนึ่งไปตลอด ในบางกรณีต้องอาศัยความร่วมมือกับพันธมิตรหรือซัพพลายเชนตลอดห่วงโซ่ นอกจากนี้จากการพัฒนาเทคโนโลยีไม่หยุดนิ่ง กฎระเบียบทั้งในและต่างประเทศที่ต้องรอให้มีความชัดเจน ทำให้บางทางเลือกสามารถรอจังหวะได้ ขณะที่บางทางเลือก ปรับเปลี่ยนไปเลยจะเหมาะสมกว่า
ยกตัวอย่างเช่น ธุรกิจอาจเริ่มต้นจากการลดส่วนสูญเสียในกระบวนการผลิต แยกขยะและนำวัสดุอุปกรณ์เหลือทิ้งมาใช้ซ้ำ/รีไซเคิล วางแผนก่อนการใช้สิ่งต่างๆ เลือกใช้วัสดุ/วัตถุดิบที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ประหยัดไฟฟ้าและน้ำ การใช้ไฟฟ้าช่วง Off-Peak ที่ค่าไฟต่อหน่วยต่ำ เปลี่ยนมาใช้พลังงานหมุนเวียนผ่านการติดตั้งแผงโซลาร์เซลล์ในโรงงาน การออกแบบเส้นทางการใช้รถยนต์ เปลี่ยนรถยนต์น้ำมันเป็นรถยนต์ไฟฟ้า การลดการขนส่งเที่ยวเปล่า การใช้โซลูชั่นหรือเทคโนโลยีเพื่อลดความสิ้นเปลือง เป็นต้น ซึ่งแนวทางเหล่านี้ ธุรกิจ SMEs ก็น่าจะสามารถดำเนินการหรือทยอยปรับเปลี่ยนเมื่อถึงจังหวะเวลาที่เหมาะสมได้โดยมีค่าใช้จ่ายที่ไม่สูง