“กสิกร อินเวสเจอร์”Game Changer ของ Kbank

0
230

ธนาคารกสิกรไทย เปิดยุทธศาสตร์สร้างการเติบโตธุรกิจในระยะยาว แยก “บริษัท กสิกร    อินเวสเจอร์ จำกัด” หรือ KIV โฮลดิ้งที่ลงทุนใน 14 บริษัท มูลค่าการลงทุนกว่า 30,000 ล้านบาท รุกธุรกิจให้บริการการเงินลูกค้ารายย่อย มุ่งใช้ศักยภาพพันธมิตรร่วมกับโครงสร้างพื้นฐานของธนาคาร  สร้างรายได้บนความเสี่ยงที่คุ้มค่าด้วยต้นทุนที่เหมาะสม

หวังเป็น Game Changer สร้างแหล่งรายได้ใหม่ ตั้งเป้ากำไร 5,000 ล้านบาท ภายใน 3 ปี  

นางสาวขัตติยา อินทรวิชัย ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ธนาคารกสิกรไทย เปิดเผยว่า บริษัท กสิกร อินเวสเจอร์ จำกัด หรือ KIV เป็นบริษัทโฮลดิ้งภายใต้กลุ่มธุรกิจทางการเงินของธนาคารกสิกรไทย โดยมีคุณพัชร สมะลาภา ดำรงตำแหน่ง Group Chairman เพื่อลงทุนในบริษัทร่วมกับพันธมิตร  เสริมความแข็งแกร่งของธนาคารและพันธมิตร สร้างรายได้บนความเสี่ยงที่คุ้มค่า ด้วยต้นทุนที่เหมาะสม  ซึ่งก่อนที่จะ แยก KIV ออกมา ได้มีการทดลองมาระยะเวลาหนึ่งแล้วว่าเป็น Business Model ที่มีโอกาสสำเร็จได้

“สาเหตุที่ต้อง Spin-off   KIV ออกมา เนื่องจากกลุ่มลูกค้าเป้าหมายแตกต่างกัน โดยกลุ่มลูกค้าของ KIV คือกลุ่มที่ไม่สามารถเข้าถึงสินเชื่อของสถาบันการเงิน ดังนั้น Business Model จึงต้องแตกต่างจากธนาคาร เพื่อตอบโจทย์ลูกค้าได้มากขึ้น  เพื่อความยืดหยุ่นและคล่องตัวในการดำเนินธุรกิจ  ใช้ศักยภาพของธนาคารให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น ซึ่งมั่นใจว่าการปรับครั้งนี้จะเป็น Game Changer  เพิ่มขีดความสามารถการแข่งขันในการให้บริการการเงินกับกลุ่มลูกค้ารายย่อย ทำให้ลูกค้าเข้าถึงสินเชื่อได้มากขึ้น และสามารถสร้างแหล่งรายได้ใหม่ ทำให้ธนาคารมีกำไรสูงกว่าธนาคารบริหารจัดการเอง ส่งผลต่อการเติบโตต่อเนื่องอย่างแข็งแกร่งและยั่งยืน ”

นายพัชร สมะลาภา Group Chairman บริษัท กสิกร อินเวสเจอร์ จำกัด กล่าวว่า เป้าหมายหลักของ KIV คือการช่วยเหลือลูกค้ารายย่อย และเอสเอ็มอีขนาดเล็กที่เข้าไม่ถึงสินเชื่อสถาบันการเงินให้เข้าถึงได้มากขึ้น  ซึ่งโจทย์สำคัญคือ ต้องลดต้นทุนการดำเนินงาน (Operating Cost) และลดต้นทุนความเสี่ยงจากการให้สินเชื่อ (Credit Cost) เพื่อให้คงความสามารถในการสร้างกำไรของธุรกิจ  และปล่อยสินเชื่อได้มากขึ้น

โดย KIV อาศัยความเชี่ยวชาญของพันธมิตรในแต่ละด้าน รวมกับการใช้โครงสร้างและทรัพยากรของธนาคารกสิกรไทยที่มีอยู่แล้ว ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของข้อมูล ระบบไอที สาขา จำนวนลูกค้ากว่า 20 ล้านราย  K PLUS และเงินทุนซึ่งมีต้นทุนการเงินที่ถูกกว่าคู่แข่ง จากความได้เปรียบที่เป็นบริษัทลูกของ ธนาคารกสิกรไทย

หลังจากทดลองระบบการทำงาน ทำให้ KIV เข้าใจลูกค้าที่หลากหลายมากขึ้น สามารถให้บริการการเงินที่ครอบคลุมความต้องการของกลุ่มครัวเรือนรายได้น้อย เจ้าของร้านค้ารายเล็ก กลุ่มที่ไม่มีรายได้ประจำ ซึ่งเป็นกลุ่มที่มีความต้องการเงินทุนเสริมสภาพคล่อง ให้สามารถใช้บริการการเงินในระบบได้มากขึ้น

“ด้วยกระบวนการทำงานที่แตกต่างไปจากเดิม ทั้งการใช้พนักงานตรวจสอบลูกค้าว่ามีตัวตนจริงๆ เอกสารจริง  การปล่อยสินเชื่อกับลูกค้าด้วยวงเงินที่เหมาะสมกับความสามารถในการชำระ ส่งผลให้ NPL ลดลง  ขณะเดียวกันการร่วมทุนกับพันธมิตรทำให้ KIV สามารถเก็บเงินจากลูกค้าที่เป็นหนี้เสียได้มากขึ้น ส่งผลให้ Credit Cost ลดลงด้วยเช่นกัน”

ปัจจุบัน มีบริษัทที่อยู่ในโครงสร้างของ KIV จำนวน 14 บริษัท ใน 9 กลุ่มธุรกิจ มูลค่าการลงทุน ประมาณ 30,000 ล้านบาท  และจะขยับมูลค่าการลงทุนเพิ่มเป็น 65,000 ถึง 70,000 ล้านบาท ภายใน 3 ปี โดยจะเพิ่มการลงทุนเพิ่มเติมอีก 3 ถึง 4 บริษัท  โดยปีนี้คาดว่าจะมีกำไรประมาณ 900 ถึง 1,100 ล้านบาท ยอดปล่อยสินเชื่อ 4-4.5 หมื่นล้านบาท และจะเพิ่มกำไรเป็น 4.5- 5 พันล้านบาท ยอดปล่อยสินเชื่อ 7.5-8 หมื่นล้านบาท ในอีก 3 ปีข้างหน้า (ปี 2026)

อย่างไรก็ตามอัตราดอกเบี้ยที่ทาง ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) กำหนดไว้สำหรับรายย่อยไม่เกิน 25% ต่อปี เป็นเรื่องท้าทายในการบริหารจัดการ  เพราะอัตราดอกเบี้ย 25% ต่อปี ต้องใช้เวลา 7 ปีจึงจะคืนทุน บนเงื่อนไขที่ว่าต้องไม่มีหนี้เสีย (NPLs) แม้แต่รายเดียว  หากมีหนี้เสียเกิดขึ้น 1 ราย ต้องใช้ลูกค้าชั้นดีถึง 10 ราย จึงจะทดแทนหนี้เสียรายนั้นได้

ดังนั้นหลักเกณฑ์ในการคัดเลือกลูกค้าจึงเป็นเรื่องสำคัญ โดย KIV มุ่งเน้นไปที่ลูกค้ารายย่อยคุณภาพดี และการปล่อยเงินกู้ ที่สามารถเก็บเงินกลับมาได้ โดยให้ความสำคัญในเรื่องการลดต้นทุนในการดำเนินงานเป็นหลัก