20 ปี “พีพี กรุ๊ป” คว้าแบรนด์ดังเติมพอร์ตแฟชั่นลัคชัวรี ดันรายได้โตทะลุ 4,000 ล้านบาท ภายในปี 2026

0
154

พีพี กรุ๊ป ผู้นำเข้าและจัดจำหน่ายแบรนด์ชั้นนำ ได้แก่ Tory Burch (ทอรี่ เบิร์ช), Givenchy (จีวองชี่), Longchamp (ลองฌอมป์), Roger Vivier (โรเฌร์ วิวิเยร์), MCM (เอ็มซีเอ็ม), Off-White™ (ออฟไวท์), Maison Kitsuné (เมซง คิทสึเนะ), Palm Angels (ปาล์ม แองเจิลส์), Casetify (เคสทิฟาย) ล่าสุดร่วมทุนนำเข้าแบรนด์ Gentle Monster (เจนเทิล มอนสเตอร์) แบรนด์แว่นตาสัญชาติเกาหลีที่เป็นกระแสระดับโลก  มาสร้างความหลากหลายและเพิ่มศักยภาพให้กับแบรนด์ที่มีอยู่

คุณสุวดี พึ่งบุญพระ ประธานกรรมการ พีพี กรุ๊ป กล่าวว่า พีพี กรุ๊ป เริ่มต้นธุรกิจตั้งแต่ปี 2003  โดยได้รับความไว้วางใจจากธุรกิจกลุ่มสินค้าแฟชั่นและไลฟ์สไตล์ ให้เป็นตัวแทนในการจัดจำหน่าย ดำเนินธุรกิจ และดูแลภาพลักษณ์ของแบรนด์ในประเทศไทยมาอย่างต่อเนื่อง   และด้วยประสบการณ์การบริหารแบรนด์แฟชั่นลักชัวรีชั้นนำจากทั่วโลก จึงมองเห็นโอกาสที่จะต่อยอดธุรกิจให้เติบโตจากเทรนด์อุตสาหกรรมแฟชั่น โดยตลอด 5 ปีที่ผ่านมา พีพี กรุ๊ป มีการพัฒนาทางธุรกิจอย่างก้าวกระโดด  แม้แต่ในช่วงโควิด ยอดขายยังเติบโตอย่างต่อเนื่องถึง 45%  

สำหรับปี 2023 มีการลงทุนมากกว่า 200 ล้านบาท ในการเพิ่มจุดขายในพื้นที่จุดยุทธศาสตร์จากเดิม 2,254 ตารางเมตร (20 ร้านค้า) เป็น 4,342 ตารางเมตร (40 ร้านค้า)  โดยคาดว่าสิ้นปี 2023 จะสร้างยอดขายได้ถึง 2,000 ล้านบาท เติบโตจาก 5 ปีก่อนถึงเกือบเท่าตัว

คุณโอฬาร ปุ้ยพันธวงศ์ รองประธานกรรมการ พีพี กรุ๊ป กล่าวว่า ตลอด 20 ปี พีพี กรุ๊ป  เป็นส่วนหนึ่งในการยกระดับการแข่งขันธุรกิจในกลุ่มแฟชั่นและไลฟ์สไตล์ในตลาดประเทศไทย อาทิ เป็นผู้เริ่มนำเสนอสินค้าในกลุ่มสตรีทลักชัวรีให้กับเมืองไทยในปี 2018 เป็นพันธมิตรทางธุรกิจดูแลการจัดจำหน่ายให้กับ Casetify ในการนำเสนอไลฟ์สไตล์เกี่ยวกับสินค้ากลุ่มเทคโนโลยีชั้นนำให้กับเมืองไทยเป็นครั้งแรก

ด้วยกลยุทธ์ที่แตกต่างจากคู่แข่ง คือมีแบรนด์ที่หลากหลายทั้งแบรนด์ในกลุ่มแฟชั่น, กลุ่มอาหารและเครื่องดื่ม, กลุ่มไลฟ์สไตล์ และยังมีช่องทางการจัดจำหน่ายของตัวเอง ซึ่งความหลากหลายของแบรนด์และช่วงราคา สามารถตอบสนองความต้องการของตลาดในวงกว้าง   ซึ่งภาพรวมตลาดแฟชั่นรีเทลในไทย โดยเฉพาะในกลุ่มลักชัวรี มีมูลค่ารวมเติบโตอย่างต่อเนื่อง ทำให้ยอดขายของแบรนด์ที่บริหารโดยกลุ่ม พีพี กรุ๊ป สูงเป็นอันดับต้นๆของโลกหรือของภูมิภาคมาโดยตลอด  

และในปีนี้ยังคงเดินหน้าเป็นผู้นำเข้าและจัดจำหน่ายแบรนด์ชั้นนำที่เป็นกระแสในวงการแฟชั่นระดับโลกให้กับตลาดไทยอย่างต่อเนื่อง โดยล่าสุดเปิดตัวแบรนด์ Gentle Monster (เจนเทิล มอนสเตอร์) แว่นตาสัญชาติเกาหลี กับแฟล็กชิปสโตร์แห่งแรกในเมืองไทยที่ศูนย์การค้าเอ็มควอเทียร์ ซึ่งกระแสการตอบรับดีมากจนสินค้ารุ่นลิมิเต็ดจำหน่ายหมดภายในวันแรก  

และช่วงต้นปี 2024 ยังมีแผนที่จะขยายตลาดในกลุ่มเซกเมนต์ใหม่ โดยโฟกัสในการนำเข้าแบรนด์ใหม่มาแรงเพื่อสร้างความหลากหลายให้กับธุรกิจแฟชั่นรีเทลในเมืองไทยกับกลุ่มดีไซเนอร์แบรนด์ โดยเตรียมนำแบรนด์ AMI (อาร์มี่) แบรนด์ดังจากฝรั่งเศส มาเปิดร้านแรกในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้

สำหรับเป้าหมายในอนาคต พีพี กรุ๊ป จะเป็น Connector หรือตัวแปรสำคัญในการเชื่อมโยงเมืองไทยกับสิ่งใหม่ๆที่เกิดขึ้นในโลกของ แฟชั่นและไลฟ์สไตล์ทั่วโลก โดยสร้างความเติบโตแบบก้าวกระโดดโดยโตขึ้นสองเท่าภายใน 3 ปีข้างหน้า หรือขยายธุรกิจให้แตะ 4,000 ล้านภายในปี 2026  พร้อมทั้งให้ความสำคัญกับการยกระดับ Retail Experience สร้างประสบการณ์ที่แปลกใหม่ เพื่อดึงดูดให้ผู้คนและกลุ่มเป้าหมายได้เข้ามาสัมผัสกับประสบการณ์กับแบรนด์เทียบเท่ากับการไปซื้อของในร้านหรือช็อปใหญ่ๆ ในโลก

ทั้งนี้บริษัทวางแผนขยายโครงสร้างธุรกิจให้มีความหลากหลาย เพื่อรองรับรูปแบบธุรกิจของแฟชั่นลักชัวรีที่เปลี่ยนไป ซึ่งประกอบไปด้วย

Fashion Distributor การเป็นผู้นำเข้าแบรนด์แฟชั่น

International Business Joint Venture การร่วมทุนกับนักลงทุนต่างชาติ เช่นแบรนด์ Gentle Monster

Retail Operation Service เป็นผู้ให้บริการด้านกลยุทธ์ทางธุรกิจ โดยใช้ความเชี่ยวชาญและความเข้าใจในตลาด20 ปีที่ผ่านมา

Marketing & Brand Building Consultancy ให้บริการเป็นที่ปรึกษาในการทำ Brand Building ในเมืองไทยด้วยคอนเนคชั่นที่แข็งแรงทั้งสื่อและเซเลบริตี้

นอกจากนี้ยังวางกลยุทธ์ในการเพิ่มประสิทธิภาพในการแข่งขันและตอบสนองความต้องการในการเลือกซื้อสินค้าและบริการของผู้บริโภคในทุกรูปแบบ เพื่อประสบการณ์การช้อปปิ้งไร้รอยต่ออย่างแท้จริง รวมไปถึงการเพิ่มพื้นที่และจุดขายเพื่อตอบรับความต้องการและแนวโน้มของตลาดในปี 2023 ทั้งในส่วนของ Permanent Store และ Pop-Up Store, การเน้นการให้บริการด้าน OMNI Channel เช่นเปิดโอกาสให้ลูกค้า Casetify สามารถออกแบบสินค้าทั้งที่ร้านหรือผ่านออนไลน์และสามารถรับหรือชำระสินค้าได้ในทุกช่องทาง, การ Upgrade New E-Commerce ให้เกิดประสบการณ์ของผู้ใช้งานที่ประทับใจ ง่ายต่อการใช้งานในทุกๆ แพลตฟอร์ม และ การ Upgrade Loyalty Program ทั้งการเพิ่มสิทธิประโยชน์ของการเป็นสมาชิก และการเพิ่มรูปแบบการเช็คคะแนนหรือยอดสะสมแบบ Real Time ผ่านแอปพลิเคชั่น ‘PP CLUB’

“ด้วยความพร้อมของตลาดและกำลังซื้อของลูกค้า บริษัทคิดว่าเมืองไทยพร้อมรองรับการเติบโตของแบรนด์ใหม่ๆ และมั่นใจว่าจะสามารถเติบโตอย่างก้าวกระโดดหรือโตขึ้นจากเดิมเป็นสองเท่าในอีก 3 ปีข้างหน้า หรือขยายธุรกิจให้แตะ 4,000 ล้านภายในปี 2026 โดยให้ความสำคัญกับธุรกิจแบบ Brick and Mortar พร้อมไปกับการพัฒนา E-Commerce เพื่อให้สามารถขายสินค้าได้ทั้งออฟไลน์และออนไลน์ ทำให้มีศักยภาพสูงในการดำเนินธุรกิจอย่างยั่งยืน” คุณโอฬาร กล่าวสรุป