วัดมหาธาตุยุวราชรังสฤษฎิ์ ราชวรมหาวิหาร กรุงเทพฯ เตรียมสมโภช ๓๓๘ ปี ๗ วัน ๗ คืน วันที่๒๗ ธันวาคม ๒๕๖๖ ถึงวันที่ ๒ มกราคม ๒๕๖๗ เพื่อเทิดพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว ในวโรกาสมหามงคลวันเฉลิมพระชนมพรรษา ๗๒ พรรษา ในปี ๒๕๖๗ และรำลึกถึงบูรพกษัตริย์และบูรพาจารย์ และถวายเป็นพระราชกุศลแด่ สมเด็จพระบวรราชเจ้ามหาสุรสิงหนาท กรมพระราชวังบวรสถานมงคล (วังหน้า)
คณะกรรมการจัดงานสมโภชพระอารามหลวง ๓๓๘ ปี โดย นางฐนิวรรณ กุลมงคล กรรมการอำนวยการฝ่ายฆราวาส จัดกิจกรรม “สื่อมวลชน เยือนวัดมหาธาตุฯ” เปิดเส้นทางท่องเที่ยวสายบุญ “ไหว้พระ-ขอพร รับปีใหม่ ๒๕๖๗” ชมสถาปัตยกรรม ศิลปะวัดวัง ยุคต้นรัตนโกสินทร์ เรียนรู้เรื่องราวในประวัติศาสตร์ และพระพุทธศาสนา โดยอาจารย์นัท จุลภัสสร พนมวัน ณ อยุธยา เป็นวิทยากรผู้บรรยายให้ความรู้
เส้นทางเข้าชม เริ่มจากประตูทางเข้าฝั่งถนนพระจันทร์-สนามหลวง
จุดแรก พบกับ ๓ สถานที่สำคัญ ได้แก่ ต้นพระศรีมหาโพธิ์ วิหารโพธิ์ลังกา พระบวรราชานุสาวรีย์สมเด็จพระบวรราชเจ้ามหาสุรสิงหนาท
-“ต้นพระศรีมหาโพธิ์” หรือ “โพธิ์ลังกา” พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย ได้ส่งคณะพระสงฆ์สมณทูตไทยออกไปสืบพระศาสนาในลังกาทวีป ตอนกลับได้นำหน่อต้นพระศรีมหาโพธิ์ จากเมืองอนุราธบุรีประเทศศรีลังกากลับมาปลูกในกรุงรัตนโกสินทร์เป็นครั้งแรกในปี พ.ศ.๒๓๖๑ พระศรีมหาโพธิ์ต้นนี้จึงเป็นต้นที่เก่าแก่ที่สุด
-“วิหารโพธิ์ลังกา” เป็นพระวิหารน้อย สร้างในสมัยรัชกาลที่๔ และเคยเป็นตำหนักที่ประทับเมื่อครั้งทรงพระผนวช
-“พระบวรราชานุสาวรีย์สมเด็จพระบวรราชเจ้ามหาสุรสิงหนาท” เมื่อครั้งอยุธยาพ่ายศึกพม่า สมเด็จพระบวรราชเจ้ามหาสุรสิงหนาทตีฝ่าวงล้อมมาขึ้นที่วัดมหาธาตุ (ชื่อเดิมวัดสลัก) กราบสักการะตั้งจิตอธิษฐานต่อหน้าพระสลักว่า หากกอบกู้บ้านเมือง เอาชนะศัตรูได้ จะมาบูรณะปฎิสังขรณ์วัดให้เจริญรุ่งเรือง ซึ่งเป็นไปตามคำสัตยาธิษฐาน เมื่อพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราชสถาปนากรุงรัตนโกสินทร์เป็นราชธานีใหม่ ท่านจึงได้มาบูรณะวัดแห่งนี้ตั้งแต่ต้นรัตนโกสินทร์รุ่งเรืองมาถึงปัจจุลัน
ในปี๒๕๒๑ พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร และ สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง ทรงเสด็จมาวางศิลาฤกษ์ และทรงเททองหล่อพระบวรราชานุสาวรีย์ มีขนาดเท่าครึ่ง ประทับยืนบนเกย หันพระพักตร์ออกสู่สนามหลวง พระหัตถ์ทั้งสองยกพระแสงดาบเหนือพระอุระเพื่อจบถวายเป็นพุทธบูชาภายในฐานบรรจุเนื้อดินซึ่งเก็บจากแผ่นดินที่สมเด็จพระบวรราชเจ้ามหาสุรสิงหนาท เสด็จกรีธาทัพเข้ามาทั้งสิ้น ๒๘ แห่ง
จุดที่สอง ตึกแดง หรือ “ ตึกถาวรวัตถุ หอสมุดวชิราวุธ” ชมสถาปัตยกรรมสำคัญของอาคารก่ออิฐถือปูนสมัยรัชกาลที่ ๕ กราบสักการะพระราชานุสาวรีย์สมเด็จพระบรมโอรสาธิราช เจ้าฟ้ามหาวชิรุณหิศ สยามมกุฎราชกุมาร และทรงเป็นมกุฎราชกุมารพระองค์แรกแห่งกรุงรัตนโกสินทร์ ซึ่งบริเวณด้านหลังเป็นอาคารเบญจมราชวรานุสรณ์ (สถานปฏิบัติธรรม ศูนย์วิปัสสนานานาชาติ) สร้างในสมัยรัชกาลที่ ๙
จุดที่สาม เป็นเขตพุทธาวาสของวัด ๓ แห่ง ได้แก่ พระมณฑปพระธาตุ พระอุโบสถ พระวิหาร
-พระมณฑปพระธาตุ เป็นสถาปัตยกรรมทรงไทย หลังคาลด 2 ชั้น ประดับช่อฟ้าใบระกา หน้าบันเป็นไม้แกะสลักปิดทองประดับกระจก ตรงกลางเป็นรูปพระลักษณ์ทรงหนุมานยืนแท่น ซึ่งเป็นตราสัญลักษณ์ของกรมพระราชวังบวรสถานมงคล ส่วนบนของพระเจดีย์บรรจุพระบรมสารีริกธาตุ ส่วนใต้ฐานพระเจดีย์ บรรจุพระบรมอัฐิของพระปฐมบรมมหาชนก (ต้นราชวงศ์จักรี)
-พระอุโบสถ เป็นพระอุโบสถใหญ่ที่สุดของกรุงรัตนโกสินทร์ ปูลาดด้วยศิลาอ่อน หน้าบันเป็นไม้แกะสลักปิดทองประดับกระจก ใบเสมาสลักเป็นภาพนารายณ์ทรงสุบรรณ อยู่ด้านในพระอุโบสถ ด้านนอกมุมทั้ง๔ สลักเป็นภาพครุฑยุดนาค ภายในมีพระประธาน เป็นพระพุทธรูปปางมารวิชัย นามว่า “พระศรีสรรเพชญ” และ พระอรหันต์ ๘ ทิศ
-พระวิหาร กราบพระประธานพระพุทธเจ้า ๕ พระองค์
- หลวงพ่อหิน (พระพุทธรูปหินศิลาแลงเก่าแก่ที่สุด) หนึ่งในพระประธานในพระวิหาร เดิมเป็นพระประธาน ในอุโบสถวัดสลัก ปัจจุบันมีอายุกว่า ๓๓๘ ปี เมื่อครั้งตั้งกรุงรัตนโกสินทร์ สมเด็จพระบวรราชเจ้ามหาสุรสิงหนาท ได้อัญเชิญมาประดิษฐานไว้ที่พระวิหารหลวงจนถึงปัจจุบัน
- แผ่นศิลาจารึกดวงชะตา(พิชัยสงคราม) จารึกเป็นอักษรสมัยแผ่นดินสมเด็จพระนารายณ์มหาราช หลักฐานสำคัญเก่าแก่ที่สุด ปรากฏปีที่สร้าง พศ.๒๒๒๘ เป็นเครื่องแสดงว่า วัดมหาธาตุฯอายุ ๓๓๘ ปี เดิมติดอยู่ที่ฐานพระประธาน ต่อมาได้ถูกอัญเชิญไปไว้ในสระทิพยนิภาเป็นเวลาประมาณ ๓๓ ปี และนำมาไว้ในพระวิหารด้านหน้าหลวงพ่อหินมาจนถึงปัจจุบัน

นอกจากนี้ในพระวิหารยังมี พระแท่นบรรทมสมเด็จพระบวรราชเจ้ามหาสุรสิงหนาท พิพิธภัณฑ์โบราณวัตถุ คัมภีร์พระไตรปิฎกที่ได้ทำการสังคายนาในสมัยรัชกาลที่๑ (พศ.๒๓๓๑) และ ผ้าห่อคัมภีร์ใบลานเก่าแก่ ให้ชมอีกด้วย
วัดมหาธาตุฯ เดิมชื่อ “วัดสลัก” สมเด็จพระบวรราชเจ้า มหาสุรสิงหนาท สถาปนาขึ้นเป็น “พระอารามหลวงแห่งแรก” ของกรุงรัตนโกสินทร์ เปลี่ยนชื่อเป็น“วัดนิพพานนานาม” ต่อมาพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช โปรดให้ทำการสังคายนาพระไตรปิฎก จึงเปลี่ยนเป็น “วัดพระศรีสรรเพชญ์” จากนั้นทรงประชุมพระราชาคณะให้จัดการศึกษาและสอบพระปริยัติธรรม จึงโปรดให้เปลี่ยนชื่อเป็น “วัดมหาธาตุ”
มาถึงสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๕ เมื่อสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชเจ้าฟ้ามหาวชิรุณหิศสวรรคต ทรงพระราชทานพระราชทรัพย์ส่วนของสมเด็จพระบรมโอรสาธิราช เพื่อปฎิสังขรณ์วัดมหาธาตุ จึงโปรดให้เพิ่มสร้อยนามเติมว่า “ยุวราชรังสฤษฎิ์”
วัดมหาธาตุฯ เป็นสถานที่สืบสานพระราชปณิธานของ รัชกาลที่. ๕ โดยทรงสถาปนา “มหาธาตุวิทยาลัย” ด้วยพระประสงค์ให้บัณฑิตสอบพระปริยัติธรรมได้ที่วัดมหาธาตุ จากเดิมที่ต้องสอบในพระบรมมหาราชวัง ซึ่งทรงให้เกียรติและยกย่องสถานการศึกษาของพระภิกษุสงฆ์เป็นอย่างยิ่ง ดังที่ปรากฏในพระราชปณิธานของพระองค์ว่าจะให้วัดมหาธาตุเป็นสถานที่ศึกษาพระไตรปิฏกและวิชาชั้นสูงสำหรับพระภิกษุ สามเณร และคฤหัสถ์ ซึ่งปัจจุบันคือ ”มหาจุฬาลงกรณ์ราชวิทยาลัย”
พุทธศาสนิกชนร่วมเฉลิมฉลองสมโภชพระอาราม ๓๓๘ ปี วัดมหาธาตุยุวราชรังสฤษฎิ์ ราชวรมหาวิหาร พระอารามหลวงแห่งแรกแห่งกรุงรัตนโกสินทร์ โดยการร่วมบูรณปฏิสังขรณ์ ปรับภูมิทัศน์วัดมหาธาตุยุวราชรังสฤษฎิ์ ให้งามสง่าสืบไป สั่งสมเสบียงบุญ เกื้อหนุนพระศาสนา
ร่วมบริจาค ๓๓๙ บาท รับพระสมเด็จอรหัง ๑ องค์ สุดยอดความศักดิ์สิทธิ์แห่งสำนักวัดมหาธาตุยุวราชรังสฤษฏิ์ สนามหลวง โดยสมเด็จพระสังฆราชสุก (สุกไก่ เถื่อน) เป็นสมเด็จพระสังฆราชพระองค์ที่ ๔ ในรัชกาลที่ ๑ เป็นผู้ริเริ่มสร้างเมื่อกว่าร้อยปีก่อน เป็นที่ระลึกเพื่อการบูชา (จัดส่งถึงบ้าน)
ทุกบาทมีค่า เป็นมหากุศล ร่วมทำบุญตามกำลังศรัทธาได้ที่ ธนาคารกรุงเทพ ชื่อบัญชี วัดมหาธาตุยุวราชรังสฤษฎิ์ สมโภชพระอาราม เลขที่บัญชี ๙๐๕-๐-๒๒๗๕๐-๔