รวมพลัง บลจ. จัด 42 กองทุน ThaiESG ส่งท้ายปีภาษี ดึงเม็ดเงินกว่า 25,000 ล้านบาท ดันตลาดหุ้นไทย

0
17

สมาคมบริษัทจัดการลงทุน (AIMC) รวมพลัง 16 บลจ. จัด 42 กองทุนรวมไทยเพื่อความยั่งยืน (ThaiESG) เป็นทางเลือกให้ผู้ทำงานประจำ ประกอบธุรกิจส่วนตัวหรือผู้มีอาชีพอิสระ (Freelance) ที่ต้องการลงทุน 5 ปีขึ้นไป พร้อมรับสิทธิประโยชน์ทางภาษีเพิ่มขึ้นสูงสุด 300,000 บาท ตั้งเป้าเพิ่มจำนวนผู้ซื้อหน่วยลงทุนกว่า 200,000 คน ยอดเงินลงทุนไม่ต่ำกว่า 25,000 ล้านบาท

นางชวินดา หาญรัตนกูล  นายกสมาคมบริษัทจัดการลงทุน (AIMC) กล่าวว่า ภาครัฐโดยกระทรวงการคลังและกรมสรรพากรให้การสนับสนุนอย่างเต็มที่ ทั้งการจัดตั้งกองทุนรวมไทยเพื่อความยั่งยืน การให้สิทธิประโยชน์ทางภาษีวงเงินลดหย่อนที่เพิ่มเป็น 300,000 บาท  การถือครองที่ลดลงเหลือเพียง 5 ปี   AIMC จึงพร้อมนำเสนอ 42 กองทุน ThaiESG จาก 16 บลจ. เพื่อเป็นทางเลือกให้กับประชาชนในช่วงโค้งสุดท้ายของการลงทุนเพื่อรับสิทธิประโยชน์ทางภาษี

ปัจจุบัน (31 ต.ค.67) จำนวนกองทุนที่นำเสนอ และยอดรวมมูลค่าสินทรัพย์สุทธิภายใต้การจัดการ เพิ่มขึ้นเกือบเท่าตัวเมื่อเที่ยบกับจำนวน ณ สิ้นปี 2566 ที่ผ่านมา (AUM รวมจาก 6,400 ลบ.เพิ่มเป็น 11,596 ลบ. / จำนวนกองทุนจาก 22 กองทุน เพิ่มเป็น 42 กองทุน) 

ทั้งนี้ตั้งเป้าเพิ่มจำนวนผู้ซื้อหน่วยลงทุน ThaiESG  รวมกันกว่า 200,000 คน เงินลงทุนใหม่ไม่ต่ำกว่า 25,000 ล้านบาท  โดยคาดว่าสิ้นปี 2567 จะมีกองทุน ThaiESG เพิ่มเป็น 46-47 กอง จากปัจจุบันมีอยู่ 42 กอง และมี AUM รวมมากกว่า 37,000 หมื่นล้านบาท จากปัจจุบัน 12,000 หมื่นล้านบาท  ซึ่งที่ผ่านมา ช่วงอายุผู้ลงทุนกว้างขึ้น อยู่ในช่วง 30-60 ปี โดยคนรุ่นใหม่นอกจากจะสนใจลงทุนกองทุน ThaiESG  เพื่อบริหารภาษีและระยะเวลาการลงทุนไม่นานจนเกินไปแล้ว ยังเห็นความสำคัญของเรื่อง ESG มากขึ้นอีกด้วย

นางชวินดา กล่าวว่าอุตสาหกรรมจัดการลงทุน ได้รับการสนับสนุนอย่างต่อเนื่องสามปีตามระยะเวลาสิทธิประโยชน์ทางภาษีที่ภาครัฐให้มา จากกองทุนส่งเสริมการพัฒนาตลาดทุน (CMDF) และตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) ซึ่งได้ร่วมกันสนับสนุนการจัด BIG Campaign “โครงการส่งเสริมการลงทุนเพื่อความยั่งยืนของประเทศไทยผ่านทางกองทุน ThaiESG – ลงทุนยั่งยืน พร้อมคืนภาษี” เพื่อสร้างการรับรู้เกี่ยวกับแนวคิดของ ESG และการลงทุนยั่งยืนให้แก่ประชาชนไทย สร้างการรับรู้และความตระหนักถึงความสำคัญของการออมและการลงทุนระยะยาว รวมถึงการกระตุ้นให้มีการลงทุนผู้ลงทุนผ่าน Thailand ESG Fund ให้ได้ตามเป้าหมายที่คาดหวัง

โดยทีมงานได้จัดทำกลยุทธ์เร่งการประชาสัมพันธ์  เพื่อให้เกิดการลงทุนต่อเนื่องภายในระยะเวลาที่จำกัดก่อนสินปีภาษี อีกทั้งช่วยปรับพฤติกรรมการลงทุนของผู้ลงทุนไทยในกองทุนรวมเพื่อสิทธิประโยชน์ทางภาษี ซึ่งเกือบทั้งหมดจะลงทุนเฉพาะตอนปลายปี  ให้เป็นการลงทุนอย่างสม่ำเสมอ ต่อเนื่อง เพื่อผลตอบแทนที่ดีตามหลักการ DCA 

นางชวินดา กล่าวถึงตลาดหุ้นไทยว่า ปีนี้ตลาดหุ้นไทยเติบโตจากกลุ่มธนาคาร ไอที Consumer  และกลุ่มHealth  ซึ่งเป็นการเติบโตอย่างมีนัยสำคัญแบบ Organic Growth  หรือเติบโตอย่างค่อยเป็นค่อยไปและเติบโตต่อเนื่อง  ที่สำคัญ Book Value หุ้นไทยยังต่ำ  ราคาหุ้นไม่ถูกและไม่แพง  และทุก บลจ.มองว่าเป็นจังหวะของการลงทุน ซึ่งก่อนหน้านี้ตลาดหุ้นไทยปรับขึ้นจากเม็ดเงินกองทุนวายุภักษ์  และเชื่อว่าเม็ดเงินจากกองทุน ThaiESG จะเข้ามาลงทุนในตลาดหุ้นไทยช่วงปลายปีนี้ต่อเนื่องไปถึงต้นปีหน้า


“ในฐานะผู้บริหารและจัดการลงทุนต้องสร้างความมั่นใจให้นักลงทุนว่าการลงทุนจะมีประสิทธิภาพในระยะยาว และมีส่วนช่วยผลักดันบริษัทจดทะเบียนไทย และบริษัทผู้ออกตราสารหนี้กลุ่มความยั่งยืนให้มุ่งสู่เป้าหมาย Carbon Neutrality, Net Zero การใส่ใจสังคมและการยึดมั่นในหลักธรรมาภิบาลเพื่อเป็นส่วนหนึ่งในการผลักดันให้ประเทศไทยมีความยั่งยืนได้อย่างแท้จริง” นางชวินดา กล่าวสรุป

หมายเหตุ 

ผู้ซื้อหน่วยลงทุน ThaiESG และรวมถึง SSF และ RMF ต้องแจ้งความประสงค์เพื่อขอลดหย่อนภาษีให้ครบทุก บลจ.ที่ซื้อ โดยการแจ้งความประสงค์เพียงครั้งเดียวสามารถใช้ได้ตลอดไป ไม่ต้องแจ้งใหม่ทุกปี และไม่ต้องแจ้งทุกครั้งที่มีการซื้อหน่วยลงทุน อย่างไรก็ตามเมื่อผู้ลงทุนซื้อกองทุน SSF และ/หรือ RMF จาก บลจ.แห่งใหม่ ในปีถัดๆไป ผู้ลงทุนต้องแจ้งความประสงค์การขอลดหย่อนภาษีต่อ บลจ. แห่งใหม่ด้วย (แจ้งภายในวันทำการสุดท้ายของปีที่เริ่มซื้อจาก บลจ. ที่ใหม่)