สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) แถลงแผนยุทธศาสตร์ ก.ล.ต. ปี 2568 – 2570 ยกระดับความเชื่อมั่นของตลาดทุนไทย สร้างคุณค่าและความโดดเด่นให้บริษัทจดทะเบียนไทย พัฒนาตลาดทุนไทยให้รองรับความต้องการของธุรกิจที่หลากหลาย และเป็นตลาดทุนที่ประชาชนเข้าถึงได้ พร้อมรองรับการปรับตัวสู่เศรษฐกิจดิจิทัลและเศรษฐกิจสีเขียว
นายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง กล่าวว่า ตลาดทุนเป็นกลไกสำคัญนำไปสู่การพัฒนาและขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศ โดยภาครัฐต้องเป็นผู้นำทางในการเสริมสร้างศักยภาพ ซึ่งประเด็นสำคัญคือ Trust & Confidence ที่ต้องมีกระบวนการการบังคับใช้กฎหมายที่เข้มข้น ลงโทษผู้กระทำผิดได้รวดเร็ว และจะเร่งขั้นตอนการเสนอกฎหมายที่เกี่ยวข้อง เพื่อเพิ่มอํานาจการสอบสวนของ ก.ล.ต. โดยเฉพาะกรณีที่มีผลกระทบสูง (high impact) รวมถึงการยกระดับในเรื่องต่างๆ ทั้งการเปิดเผยข้อมูลและการกำกับดูแลผู้ประกอบวิชาชีพในตลาดทุน

นอกจากนี้ ในด้านสินทรัพย์ดิจิทัล อยากเห็นการใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีเพื่อสร้างนวัตกรรมไปพร้อมกับการคุ้มครองผู้ลงทุน และการส่งเสริมผู้ประกอบการธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัลที่มีคุณภาพเป็นเรื่องสำคัญ โดยภาครัฐและภาคตลาดทุนจะร่วมมือกันพัฒนาตลาดทุน เพื่อนำไปสู่ตลาดทุนที่เข้มแข็งและเติบโตอย่างยั่งยืน
ศาสตราจารย์พิเศษวิศิษฏ์ วิศิษฏ์สรอรรถ ประธานกรรมการ ก.ล.ต. กล่าวว่า นอกจากการกำหนดแผนยุทธศาสตร์แล้ว การขับเคลื่อนแผน (implement) เพื่อให้การดำเนินงานมีประสิทธิภาพและผลสัมฤทธิ์สำคัญอย่างยิ่ง โดย ก.ล.ต. ต้องมีความคล่องตัว (agility) ในการดำเนินการอย่างเท่าทันเหตุการณ์ ทั้งการสร้างธรรมาภิบาลในตลาดทุนผ่านมาตรการต่าง ๆ ที่มีอย่างต่อเนื่อง การพัฒนากฎกติกาให้เป็นมาตรฐาน สามารถตรวจสอบ ป้องกันและลดความเสียหายได้ เช่น การจัดทำเกณฑ์การจำนำหุ้นที่จะออกมาในเร็วๆ นี้ การดำเนินการด้าน Trust & Confidence ความยุติธรรม (justice)
ปีที่ผ่านมา ก.ล.ต. ทำให้คดีที่คั่งค้างได้เร็วขึ้นจากปี 2566 ถึง 3 เท่า และเชื่อว่าอนาคตจะพัฒนาขึ้นอีก ผ่านการทำงานร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับการบังคับใช้ทางกฎหมาย รวมถึงการเตรียมพร้อมสำหรับการดำเนินการสอบสวนการกระทำผิดได้อย่างเบ็ดเสร็จ เพื่อนำไปสู่การบังคับใช้กฎหมายที่มีประสิทธิภาพและสร้างความน่าเชื่อถือต่อตลาดทุนไทย
ศาสตราจารย์ ดร.พรอนงค์ บุษราตระกูล เลขาธิการ ก.ล.ต. กล่าวว่า การจัดทำแผนยุทธศาสตร์ให้ความสำคัญกับกระบวนการที่สังเคราะห์ปัจจัยต่าง ๆ เช่น การศึกษาแนวโน้มและนโยบายตลาดทุนของต่างประเทศ ความสอดคล้องกับนโยบายรัฐบาล การทำวิจัยเชิงลึก และการรับฟังความคิดเห็นจากผู้มีส่วนได้เสีย เพื่อให้ตอบโจทย์ความต้องการของผู้เกี่ยวข้องจากทุกภาคส่วนได้ใช้ประโยชน์จากตลาดทุนตามเป้าหมายของแผนยุทธศาสตร์ ก.ล.ต. รวมทั้งเพื่อให้ผู้ร่วมตลาด ตลอดจนผู้ลงทุนและประชาชน ได้เห็นทิศทางในการกำกับดูแลและกำหนดนโยบายในการพัฒนาตลาดทุนในระยะ 3 ปีข้างหน้า
สำหรับแผนยุทธศาสตร์ ก.ล.ต. ปี 2568 – 2570 มีเป้าหมายหลัก 5 ด้าน ได้แก่
(1) ตลาดทุนได้รับความเชื่อมั่น (Trust & Confidence) (2) ตลาดทุนเป็นแรงขับเคลื่อนสู่เศรษฐกิจดิจิทัล (Digital Technology) (3) ตลาดทุนเป็นกลไกสู่ความยั่งยืน (Sustainable Capital Market) (4) ผู้ลงทุนมีสุขภาพทางการเงินที่ดี (Long-term Investment) (5) ศักยภาพในการดำเนินการตามพันธกิจ (SEC Excellence)
“ทั้ง 5 ด้าน เป็นเป้าหมายที่ต่อเนื่องมาจากปีก่อน เพราะยังสอดคล้องกับพันธกิจ ทั้งด้านการกำกับดูแลและการพัฒนา แต่ในปีนี้มีการปรับน้ำหนักในแต่ละด้านให้สมดุลกันมากขึ้น เพื่อให้แผนงานมีความต่อเนื่องและสอดรับระหว่างเป้าหมายแต่ละด้านได้ชัดเจนมากยิ่งขึ้น”
สำหรับช่วงเสวนาหัวข้อ “พลิกโฉมตลาดทุน โอกาสและความท้าทาย” โดยรองเลขาธิการ ก.ล.ต. ได้แก่ นางวรัชญา ศรีมาจันทร์ นายธวัชชัย พิทยโสภณ นางสาวจอมขวัญ คงสกุล และนายเอนก อยู่ยืน ร่วมให้มุมมองต่อการดำเนินงานด้านต่าง ๆ ภายใต้แผนยุทธศาสตร์ ก.ล.ต. ในระยะ 3 ปีข้างหน้า ซึ่งยังคงเน้นการทำงานเชิงรุก เดินหน้ายกระดับความเชื่อมั่นของตลาดทุนไทยอย่างต่อเนื่อง พร้อมส่งเสริมศักยภาพของตลาดทุนและภาคส่วนที่เกี่ยวข้องให้แข่งขันและสอดคล้องกับมาตรฐานสากล โดยสนับสนุนให้บริษัทจดทะเบียนไทยมีแผนที่ชัดเจนในการ เพิ่มมูลค่าให้แก่ผู้ถือหุ้น สนับสนุนให้ประชาชนเข้าถึงและใช้ตลาดทุนเป็นแหล่งสะสมความมั่งคั่งได้อย่างเหมาะสม ตอบโจทย์ความต้องการ และสามารถรองรับการเกษียณ
นอกจากนี้ ยังสนับสนุนให้มีการยกระดับระบบนิเวศและโครงสร้างพื้นฐานรองรับตลาดทุนดิจิทัล รวมทั้งส่งเสริมให้ตลาดทุนไทยเป็นกลไกสำคัญสู่ความยั่งยืนและเป้าหมายความเป็นกลางทางคาร์บอนและคาร์บอนสุทธิเป็นศูนย์ ตลอดจนการยกระดับศักยภาพของ ก.ล.ต. ในการกำกับดูแลและการตรวจสอบ การใช้เทคโนโลยี ข้อมูลและนวัตกรรมในกระบวนการทำงาน รวมถึงการพัฒนาทักษะและความพร้อมของบุคลากรเพื่อให้สามารถตอบสนองต่อความต้องการของผู้เกี่ยวข้องได้อย่างทันการณ์และมีประสิทธิภาพ