ปตท. มั่นใจกลยุทธ์ใหม่มาถูกทาง โชว์ผลงานปี 67 กำไร 9 หมื่นล้าน ปันผล 2.10 บาท

0
19

ปตท. เผยผลการดำเนินงานปี 2567 รายได้จากการขาย3,090,453 ล้านบาท ลดลง 1.7% กำไรสุทธิ 90,072 ล้านบาท ลดลง 19.6% จากธุรกิจการค้าระหว่างประเทศมีรายได้จากการขายลดลง แม้จะมีปริมาณการขายน้ำมันสำเร็จรูป และ LNG เพิ่มขึ้น ขณะที่ก๊าซธรรมชาติมีรายได้จากการขายลดลงจากราคาขายเฉลี่ยลดลงตามราคา pool gas  มั่นใจกลยุทธ์ใหม่เน้นธุรกิจหลัก Hydrocarbon ที่ถนัดและเชี่ยวชาญ  หนุนผลประกอบการแข็งแกร่ง เตรียมงบ 25,000 ล้านบาท ขยายธุรกิจก๊าซและธุรกิจเกี่ยวเนื่องปี 2568

ดร.คงกระพัน อินทรแจ้ง ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการ  ผู้จัดการใหญ่ บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) เปิดเผยถึงผลการดำเนินงานปี 2567 ว่า ท่ามกลางความท้าทายรอบด้าน ทั้งเศรษฐกิจโลกชะลอตัว ภาวะเงินเฟ้อ อัตราแลกเปลี่ยนผันผวน ความกังวลต่อนโยบายเศรษฐกิจและการค้าของอเมริกา  แรงกดดันจากอุปสงค์ที่ลดลงและอุปทานที่มากเกินความต้องการในธุรกิจปิโตรเลียมและปิโตรเคมี  ปตท.กลับมาเน้นธุรกิจหลัก Hydrocarbon ที่ถนัดและเชี่ยวชาญ  ทบทวนกลยุทธ์ Non-Hydrocarbon  เพิ่มประสิทธิภาพการทำงาน บริหารต้นทุนด้วยการทำ Operational Excellence และดำเนินธุรกิจบนพื้นฐานการดำเนินธุรกิจตามหลักธรรมาภิบาล โปร่งใส เป็นธรรม และเป็นไปตามหลักการกำกับดูแลกิจการที่ดี

โดยปตท. และบริษัทย่อยมีรายได้จากการขาย 3,090,453 ล้านบาท ลดลง 1.7%  เป็นผลมาจากธุรกิจการค้าระหว่างประเทศมีรายได้จากการขายลดลง แม้จะมีปริมาณการขายน้ำมันสำเร็จรูปและะ LNG เพิ่มขึ้น ด้านธุรกิจก๊าซธรรมชาติมีรายได้จากการขายลดลงเช่นกัน จากราคาขายเฉลี่ยลดลงตามราคา pool gas

ขณะที่ธุรกิจน้ำมันและการค้าปลีกมีรายได้ลดลงจากประมาณการขายที่ลดลง ยกเว้นธุรกิจโรงแยกก๊าซ ที่มีปริมาณการขายและราคาเพิ่มขึ้น รวมถึงระบบธุรกิจท่อส่งก๊าซที่มีรายได้เพิ่มขึ้น จากการจองใช้ท่อของลูกค้าลงแยกก๊าซ และโรงไฟฟ้าที่เพิ่มขึ้น นอกจากนี้ธุรกิจกลุ่มสำรวจ และผลิตปิโตรเลียมมีรายได้เพิ่มขึ้นแม้ว่าราคาขายเฉลี่ยจะลดลง

โดยปี 2567 มีกำไรสุทธิ 90,072 ล้านบาท ลดลง 19.6%  จ่ายปันผลที่ 2.10 บาทต่อหุ้น คิดเป็นอัตราผลตอบแทนที่ 6.6%  และมีส่วนช่วยภาครัฐในการบริหารจัดการต้นทุนในช่วงที่ราคาพลังงานปรับตัวสูงขึ้นจากสภาวะปกติ เพื่อลดผลกระทบให้แก่ประชาชน

“การบริหารจัดการในองค์กร ทำให้ธุรกิจยังคงแข็งแกร่ง มีกำไรหลักมาจากธุรกิจ Upstream แม้ได้รับผลกระทบจากนโยบายภาครัฐ มาชดเชยกับธุรกิจ Downstream ที่ได้รับความกดดันจากปัจจัยด้านราคา แต่สามารถบริหารต้นทุน และควบคุมค่าใช้จ่ายทั้งกลุ่ม ปตท. รวมถึงการบริหารรายการพิเศษและบริหารผลกระทบจากอัตราแลกเปลี่ยนและเงินกู้ได้ดี”

ทั้งนี้ Hydrocarbon and Power เป็นธุรกิจหลักที่สร้างผลตอบแทนให้ ปตท. ประกอบด้วย การลงทุนในธุรกิจสำรวจและผลิต ผ่านบริษัท ปตท.สำรวจและผลิตปิโตรเลียม จำกัด (มหาชน) (ปตท.สผ.) โดยสามารถปรับเพิ่มกำลังการผลิตก๊าซธรรมชาติโครงการ G1/61 (แหล่งเอราวัณ) จากอ่าวไทยสู่ระดับ 800 ล้านลูกบาศก์ฟุตต่อวัน และเข้าซื้อหุ้น 10% ในโครงการสัมปทานกาชา (Ghasha Concession Project) หนึ่งในแหล่งก๊าซธรรมชาตินอกชายฝั่งที่ใหญ่ที่สุดของสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์

ธุรกิจ LNG มีการนำเข้า LNG ทั้งสัญญาระยะยาว และสัญญาแบบ Spot รวม 9.6 ล้านตันต่อปี เพื่อรองรับความต้องการพลังงานในประเทศ ธุรกิจปิโตรเลียมขั้นปลาย สร้างมูลค่าเพิ่ม 110 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ จากความร่วมมือภายในกลุ่ม และโรงกลั่นได้ปรับการผลิตน้ำมันดีเซลให้ได้มาตรฐานยูโร5 เพื่อสนับสนุนการแก้ไขปัญหามลพิษจากฝุ่น PM 2.5 ตามนโยบายของภาครัฐ ธุรกิจไฟฟ้า มีกำลังการผลิตเพิ่มเติม (อยู่ระหว่างการก่อสร้าง) รวมทั้งหมด 15 GW โดยหลักมาจากการลงทุนพลังงานหมุนเวียนในต่างประเทศ

สำหรับธุรกิจ Non-Hydrocarbon ได้ทบทวนกลยุทธ์ธุรกิจไม่สร้างกำไร เช่น Texus และกลุ่มธุรกิจโลจิสติกส์ (Logistics)    มาเน้นทำธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องกับกลุ่ม ปตท. โดย EV ธุรกิจมุ่งเน้นการขยายสถานีชาร์จไฟฟ้าร่วมกับ OR ที่มีความพร้อมของ Ecosystem สำหรับ Life Science เป็นธุรกิจที่ดี แต่ต้องขับเคลื่อนได้ด้วยธุรกิจเอง self-funding มีผู้เชี่ยวชาญ

“ปีที่ผ่านมารับรู้รายได้จากการจำหน่ายเงินลงทุนในบริษัท Alvogen Malta (Out-licensing) Holding Ltd. มูลค่า 4,500 ล้านบาท ของบริษัท อินโนบิก (เอเซีย) จำกัด สำหรับ Logistics ออกจากธุรกิจไม่สอดคล้องกับ ปตท. มุ่งเน้นที่สามารถต่อยอดและมี Synergy ภายในกลุ่ม ปตท.”

สำหรับแผนงานระยะ 5 ปี  (2568-2572)  งบลงทุนรวม 55,000 ล้านบาท เป็นงบในปี 2568 จำนวน 25,000 ล้านบาท เพื่อลงทุนโครงสร้างพื้นฐานต่างๆ เช่น ท่อก๊าซ, ท่าเรือ, เทรดดิ้ง โดยเน้นลงทุนในกลุ่มธุรกิจก๊าซธรรมชาติเป็นหลัก เพื่อเพิ่มศักยภาพในการประกอบธุรกิจ สร้างรายได้และผลกำไรแก่ผู้มีส่วนได้ส่วนเสียอย่างสมดุล

ดร.คงกระพัน กล่าวถึงกลยุทธ์สร้างการเติบโตควบคู่การลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกว่า  มุ่งสู่ NET ZERO ผ่านแนวทาง C3 ได้แก่ C1 การปรับพอร์ทธุรกิจให้เติบโตควบคู่กับการลดการปล่อยคาร์บอน C2 การปรับปรุงประสิทธิภาพกระบวนการผลิต โดยนำเทคโนโลยีดิจิทัลมาใช้ และมุ่งเน้นการใช้พลังงานสะอาด C3 ประสานความร่วมมือกับผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย พัฒนาโครงสร้างพื้นฐานและเทคโนโลยีในการลดก๊าซเรือนกระจก ใช้เทคโนโลยีดักจับและกักเก็บคาร์บอน (Carbon Capture and Storage / CCS) รวมถึงเพิ่มการดูดซับก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ด้วยวิธีทางธรรมชาติผ่านการปลูกป่า

ทั้งนี้ปตท.ขับเคลื่อนองค์กรบนพื้นฐานความยั่งยืนอย่างสมดุล เป็นที่ยอมรับทั้งในระดับประเทศและระดับสากล ด้วยผลคะแนนอันดับ 1 ด้านความยั่งยืนอันดับสูงสุดของโลก (Top 1%) ของกลุ่มอุตสาหกรรม Oil & Gas Upstream & Integrated (OGX) ในรายงานประจำปี “The Sustainability Yearbook 2025” จากการประเมินของ S&P Global Corporate Sustainability Assessment (CSA) ประจำปี 2024 และได้รับคัดเลือกเป็นสมาชิกดัชนีความยั่งยืน DJSI เป็นปีที่ 13 ติดต่อกัน  และเป็นบริษัทเดียวในไทยที่ติดอันดับมูลค่าแบรนด์สูงสุดใน Brand Finance Global 500 และได้รับการจัดอันดับจากนิตยสาร Fortune Southeast Asia 500 ให้เป็นบริษัทชั้นนำอันดับ 1 ของประเทศไทย และอันดับที่ 2 ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ สะท้อนให้เห็นถึงการดำเนินงานที่มีประสิทธิภาพในทุกมิติอย่างต่อเนื่อง