ศูนย์วิจัยกสิกรไทย เปิดเผยว่า จีนครองตำแหน่งผู้นำในตลาดตราสารหนี้ ESG และมีแนวโน้มจะนำสหรัฐฯ อย่างต่อเนื่อง ด้วยยอดตราสารหนี้ออกใหม่ในเดือน ธ.ค. 2024 ที่มากกว่าสหรัฐฯ ถึง 6 เท่า โดยจีนมียอดคงค้างตราสารหนี้ ESG สูงถึง 293 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ และมียอดตราสารหนี้ออกใหม่ในเดือนก่อน 12.42 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ส่วนหนึ่งมาจากการสร้างมาตรฐานการเผยแพร่ข้อมูล ESG ของรัฐบาลจีน เพื่อสร้างความโปร่งใสและความมั่นใจแก่นักลงทุน
ด้านสหรัฐฯ เป็นรองจีนในตลาดสารหนี้ ESG และชะลอการออกตราสารหนี้ใหม่ หลังตลาดคาดว่า FED จะลดดอกเบี้ยเพียง 2 ครั้งในปีนี้ กอปรกับความไม่แน่นอนในการสนับสนุน ESG ของทรัมป์ ส่งผลให้ภาพรวมตลาดตราสารหนี้ชะลอลง โดยเฉพาะตราสารหนี้ ESG ที่มียอดออกใหม่ในเดือนก่อนหน้าเพียง 1.98 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ลดลงมาจาก ธ.ค. 2023 ที่ 3.58 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ
สำหรับตลาดตราสารหนี้ ESG ไทยขยายตัวต่อเนื่อง จากแรงกระตุ้นของภาครัฐและการออกตราสารหนี้ของรัฐวิสาหกิจ ผ่านการให้แรงจูงใจทางภาษีแก่การลงทุนในGreen Bond และการออกตราสารหนี้ใหม่ของธนาคารอาคารสงเคราะห์ ส่งผลให้มียอดตราสารหนี้ออกใหม่ในเดือน ธ.ค. 2024 จำนวน 1.2 ร้อยล้านดอลลาร์สหรัฐ และยอดคงค้างอยู่ที่ 23.91 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ นอกจากนี้ในปี 2025 กระทรวงการคลังมีแผนออก Sustainability-linked Bond รุ่นแรกที่ออกโดยรัฐบาลไทยและเอเชีย
ศูนย์วิจัยกสิกรไทยคาดว่า ในเดือน ก.พ. 2025 ตลาดตราสารหนี้ ESG จีนและไทยจะยังเติบโตอย่างต่อเนื่อง แต่ชะลอลงในตลาดสหรัฐฯ เนื่องจากภาครัฐจีนและไทยยังคงเดินหน้าป้องกันการฟอกเขียว (Greenwashing) ขณะที่ตลาดสหรัฐฯ ชะลอลง ตามคาดการณ์ลดดอกเบี้ยของ FED และการรอความชัดเจนในนโยบาย ESG