ส่องผลกระทบกองทุน LTF โยกเข้า Thai ESG ศูนย์วิจัยกสิกรไทยชี้ Small Cap  ต้องเร่งปรับตัว  

0
15

ศูนย์วิจัยกสิกรไทย ประเมิน จากการที่กระทรวงการคลังเสนอการเปลี่ยนหน่วยลงทุนในกองทุนรวมหุ้นระยะยาว (LTF) เป็นกองทุน Thai ESG  เพื่อช่วยลดแรงกดดันต่อตลาดทุนและกระตุ้นการลงทุนในกองทุน Thai ESG ที่ยังมีมูลค่ากองทุนค่อนข้างน้อยเพียง 3.2 หมื่นล้านบาท นั้น

มาตรการดังกล่าวช่วยให้นักลงทุนสามารถแปลงหน่วยลงทุนเดิมไปยังกองทุนใหม่อัตโนมัติ และช่วยเพิ่มตัวเลือกในการลงทุนนอกเหนือจากกองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพ (RMF) และกองทุนรวมเพื่อการออม (SSF) ซึ่งเป็นทางเลือกหลักในการลดภาษี สะท้อนจากมูลค่ากองทุน 1.93 ล้านล้านบาท และ 1.39 ล้านล้านบาท ตามลำดับ สำหรับนักลงทุนที่ต้องการจัดการการลงทุนเอง  

เมื่อพิจารณาเงื่อนไขกองทุนพบว่า กองทุน LTF ลงทุนในตลาดหุ้นเป็นสำคัญ โดยไม่คำนึงถึงหลักการ ESG เพื่อกระตุ้นตลาดทุนในประเทศเป็นสำคัญ ขณะที่กองทุน Thai ESG ลงทุนในบริษัทที่ปฏิบัติตามหลัก ESG เท่านั้น  

นางสาวนราพร สังสะนา นักวิจัย  ศูนย์วิจัยกสิกรไทย (KResearch) ประเมินว่า

1) หุ้นและตราสารหนี้ของบริษัทที่ไม่ผ่าน ESG โดยเฉพาะบริษัทขนาดเล็ก (Small Cap) จำนวนมากมีความเสี่ยงที่จะถูกเทขาย และพลาดโอกาสในการรับเม็ดเงินลงทุนเพิ่มเติมจากมาตรการดังกล่าว แต่จะไม่กระทบภาพรวมของตลาดเงิน จากมูลค่าที่ค่อนข้างน้อย    ในปี 2567 มีบริษัทในตลาดหลักทรัพย์ที่ไม่ผ่านมาตรฐาน ESG กว่า 695 บริษัท หรือ 75% ของบริษัทในตลาดหลักทรัพย์ทั้งหมดแต่คิดเป็นมูลค่าเพียง 18% ของมูลค่าหลักทรัพย์ในตลาดหลักทรัพย์ทั้งหมด   

2) เงินลงทุนจะไหลเข้าและกระจุกในบริษัทขนาดใหญ่ (Large Cap) ที่ผ่านมาตรฐาน ESG  ซึ่งมีเพียง 288 บริษัท หรือ 25% ของบริษัทในตลาดหลักทรัพย์ทั้งหมด แต่กลุ่มบริษัทดังกล่าวมีมูลค่าหลักทรัพย์รวมกันกว่า 82% ของบริษัทในตลาดหลักทรัพย์ทั้งหมด หรือ 14.87 ล้านล้านบาท

ดังนั้น ธุรกิจขนาดเล็กต้องปรับตัวให้สอดคล้องกับมาตรฐาน ESG เพื่อการระดมทุนและการลงทุนที่ยั่งยืนในอนาคต โดยอาจพิจารณาเริ่มต้นปฏิบัติ ดังนี้