SCB WEALTH ขยายการลงทุนด้าน ESG คาดปี 73 โลกลงทุนพลังงานสะอาด 3.2 ล้านล้านดอลล่าร์

0
69

SCB WEALTH เดินหน้าขยายการลงทุนและยกระดับด้าน ESG มุ่งสร้างผลตอบแทนเชิงบวกให้ลูกค้า   ด้าน Blackrock คาดปี 2573 ทั่วโลกลงทุนในพลังงานสะอาดเพิ่มเป็น 3.2 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ธุรกิจที่เกี่ยวข้องต้นทุนต่ำลงน่าสนใจ  โดย Amundi  เผยผลวิเคราะห์ปี 2565 กว่า 60% ของเงินลงทุนในกองทุนETF คำนึงถึงประเด็น ESG ขณะที่ ETF ใหม่ๆ จะเป็นด้าน ESG ถึง 77%  ส่วน Schroders มองอนาคตรายงานทางการเงิน และ Fund Fact Sheet มีแนวโน้มต้องเปิดเผยข้อมูลการปล่อยก๊าซเรือนกระจกและ ESG เพิ่มขึ้น  แนะพอร์ตลงทุน ควรผสมผสานบริษัทที่ดำเนินการ ESG ได้ดี และบริษัทที่กำลังปรับตัวสู่ Net Zero  

นายศรชัย สุเนต์ตา, CFA SCB Wealth Chief Investment Officer ผู้ช่วยผู้จัดการใหญ่ ผู้บริหารฝ่าย Investment Office and Product Function กลุ่มธุรกิจ Wealth ธนาคารไทยพาณิชย์  เปิดเผยว่างานสัมมนา SCB Investment Forum For Wealth 2024  ได้รับเกียรติจากพันธมิตร บลจ. ระดับโลก  Blackrock, Amundi และ Schroders มาร่วมเปิดมุมมองการลงทุน ในหัวข้อ ‘Net Zero 2050 กับธุรกิจ Wealth ในประเทศไทย เพื่อสะท้อนพัฒนาการด้านการลงทุนที่เกี่ยวข้องกับ แผนการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกให้เป็นศูนย์  ( Net Zero)  ที่ไทยประกาศที่จะบรรลุเป้าหมายภายในปี  2050  

ทั้งนี้ SCB WEALTH  นำเรื่อง ESG มาใช้ในการดำเนินธุรกิจ ทั้งการคัดเลือกผลิตภัณฑ์  และให้คำแนะนำการลงทุนกับลูกค้า โดยมุ่งมั่นยกระดับ ESG สู่มาตรฐานระดับสูง  โดยมีแผนขยายการลงทุนในกิจการที่คำนึงถึง ESG  เพิ่มขึ้น ผ่านกองทุนรวมที่สร้างผลตอบแทนเชิงบวก ที่เกี่ยวข้องกับการดำเนินธุรกิจที่ให้ความสำคัญกับESG

โดยสนับสนุนการจำหน่ายกองทุนรวมไทยเพื่อความยั่งยืน (Thai ESG) ของบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนรวม (บลจ.) ไทยพาณิชย์ จำกัด   ที่คัดสรรให้นักลงทุนได้เลือก 3 กองทุน ได้แก่ 1) กองทุน SCBTM (Thai ESG) ลงทุนแบบผสมหุ้นไทยและตราสารหนี้  2) กองทุน SCBTA (Thai ESG) ลงทุนหุ้นไทยแบบ Active และ3) กองทุน SCBTP (Thai ESG) ลงทุนหุ้นไทยแบบ Passive ซึ่งเชื่อว่า กองทุน Thai ESG จะเป็นทางเลือกที่ดีที่ช่วยให้ผู้ลงทุนได้มีส่วนร่วมสร้างผลเชิงบวกต่อโลก ทั้งยังมีโอกาสได้รับผลตอบแทนที่ดีอย่างยั่งยืนในระยะยาว จากการลดความเสี่ยงจากประเด็นเชิงลบที่เกี่ยวข้องกับ ESG ได้อีกด้วย  

นายธณาพล อิทธินิธิภัค Director and Head of Thai Business, Blackrock  กล่าวว่า  บริษัทให้ความสำคัญกับการลงทุนยั่งยืน โดยมีระบบช่วยวิเคราะห์ความเสี่ยงบริหารพอร์ตการลงทุนและเทรดสินทรัพย์ต่างๆ (Aladdin)  ซึ่งสามารถวิเคราะห์และติดตามการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ พบว่าบริษัทที่มีการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ต่อยอดขายในระดับสูง มีแนวโน้มในการทำกำไรต่ำเมื่อเทียบกับปริษัทที่มีการปล่อยก๊าซฯที่น้อยกว่า ทั้งจากเรื่องค่าใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้นและผลกระทบจากนโยบายของภาครัฐ ดังนั้น การเร่งเปลี่ยนผ่านสู่พลังงานสะอาด จึงเป็นแนวโน้มที่จะได้เห็นในทศวรรษต่อจากนี้ 

ทั้งนี้ คาดว่าการลงทุนในพลังงานสะอาดทั่วโลก มีแนวโน้มเพิ่มเป็น 3.2 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ในปี 2573 จากสิ้นปี 2565 มีการลงทุน 1.4 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ทำให้ธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับเทคโนโลยี ที่ทำให้การใช้พลังงานสะอาดมีต้นทุนต่ำลงและน่าสนใจ ซึ่งในเอเชียมีบริษัทที่ทำธุรกิจนี้ค่อนข้างมากและเติบโตอย่างรวดเร็ว เช่น จีน มีบริษัทผลิตแผงโซลาร์ใหญ่ที่สุดในโลก และมีแหล่งผลิตนิกเกิลและลิเธียม ซึ่งเป็นส่วนประกอบสำคัญในห่วงโซ่อุปทานพลังงานสะอาด คิดเป็นสัดส่วนเกินครึ่งนึงของโลก Korea มีแหล่งผลิตพลังงานลมขนาดใหญ่ Australia มีการมุ่งเน้นพัฒนา Battery storage เป็นต้น

นายวีรวัฒน์ คิรินทร์รัตนะ Head of Distribution Sales Thailand, Amundi   กล่าวว่า ทั้งรัฐบาลและเอกชนไทย เริ่มตื่นตัวกับกระแสการดำเนินงานที่มุ่งสู่ Net Zero ซึ่ง Amundi มองว่าต้องพยายามเปลี่ยนแปลงในทันที  ผ่านการดำเนินการ 3 ด้าน คือ 1) ผลิตภัณฑ์ ผ่านการนำเสนอทางเลือกลงทุนที่มุ่งสู่ Net Zero ที่สอดคล้องกับนักลงทุนทุกประเภท 2) การเข้าไปมีส่วนร่วมและให้คำแนะนำแก่ลูกค้า  3) บริษัทที่เราเข้าไปลงทุน โดยมีส่วนร่วมส่งเสริมการปรับใช้และดำเนินการตามแผนการเปลี่ยนแปลงที่น่าเชื่อถือเพื่อมุ่งสู่ Net Zero

สำหรับ กระแสการลงทุน ESG  ในปี 2565 มากกว่า 60% ของเงินลงทุนในกองทุนรวมดัชนี (ETF) จะอยู่ในกองทุนที่คำนึงถึงประเด็น ESG ส่วนผลิตภัณฑ์ ETF ใหม่ๆ ที่ออกมาในปี 2565 เป็น ETF ด้าน ESG ถึง 77% ขณะที่การลงทุนผ่านกองทุนที่คำนึงถึงเรื่อง ESG จะทำให้นักลงทุนคาดหวังผลตอบแทนพร้อมกับการสร้างความยั่งยืนให้กับโลกได้  ดังนั้นเงินลงทุนส่วนหลักของพอร์ต (Core Portfolio) ควรลงทุนในธีม ESG ไม่ใช่ส่วนเสริมของพอร์ต (Satellite Portfolio) อีกต่อไป

นายอาทิตย์ ทองเจริญ Head of Thailand Business, Schroders กล่าวว่า Schroders จัดตั้งหน่วยงานเกี่ยวกับ ESG โดยเฉพาะตั้งแต่ปี 2541 เพื่อกำหนดนโยบายด้านความยั่งยืน นำ ESG มาเป็นส่วนหนึ่งในการลงทุน  ปัจจุบันได้นำกระบวนการพิจารณาด้านความยั่งยืนและ ESG พิจารณาการลงทุนในสินทรัพย์ทั้งหมดของ Schroders  เพราะบริษัทต่างๆ เปิดเผยข้อมูลความยั่งยืนมากขึ้น เช่น ผลกระทบในเชิงบวกที่กองทุนมีต่อสังคม ปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจกของหลักทรัพย์ที่กองทุนลงทุน  ประเด็นเรื่องความหลากหลายและการอยู่ร่วมกันอย่างเท่าเทียม (diversity & inclusion) ของบริษัทที่ลงทุน ประเด็นเรื่องความโปร่งใสในการเปิดเผยรายงาน เป็นต้น

นอกจากนี้ ในอนาคต Fund Fact Sheet ของกองทุนรวมต่างๆ ในไทย ต้องนำประเด็น ESG มาเผยแพร่ โดยเฉพาะเรื่องการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศที่มาพร้อมโอกาสและความเสี่ยงในการลงทุน นำไปสู่การเปลี่ยนแปลง 4 ด้านที่มีผลต่อมูลค่า (Valuation) ธุรกิจ ได้แก่ การกำกับ หากบริษัทใดปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์มากกว่าที่ดูดซับได้ อาจต้องชดเชยด้วยคาร์บอนเครดิต ที่จะส่งผลกระทบต่อกำไร  ด้านเทคโนโลยี ที่ต้องลงทุนเพื่อปรับปรุงกระบวนการทำงาน

สำหรับนักลงทุน ควรปรับพอร์ตแบบค่อยเป็นค่อยไป โดยผสมผสานลงทุนในบริษัทที่มีการดำเนินการด้าน ESG ที่ดี หรืออยู่ในกระบวนการปรับตัว เพื่อลดการปล่อยก๊าซ เพราะปัจจุบันบริษัทที่มุ่งเน้นไปสู่ง Net Zero ยังมีสัดส่วนไม่มากนักเพียงพอให้เลือกลงทุนเพื่อกระจายความเสี่ยงได้อย่างเหมาะสม หากมุ่งเน้นลงทุนเรื่องสิ่งแวดล้อม ก็อาจจะส่งผลกระทบต่อผลตอบแทน และความเสี่ยงของการลงทุนที่กระจุกตัวจนเกินไป