กรุงศรี ฟินโนเวต ร่วมกับ อีฟราสตรัคเจอร์ (Efra Structure) เตรียมปั้นกองทุนไซส์ยักษ์ “ฟินโน อีฟรา ไพรเวท อิควิตตี้ ทรัสต์” (Finno Efra Private Equity Trust) มุ่งลงทุนในสตาร์ทอัพไทยและอาเซียน มูลค่ากว่า 1,300 ล้านบาท (35 ล้านเหรียญสหรัฐ) ภายในระยะเวลา 4 ปี พร้อมเปิด Accelerator Program ปั้นสตาร์ทอัพระดับ Seed ถึง Pre-series A ให้เติบโตสู่ระดับ Series A อย่างแข็งแกร่ง
นายแซม ตันสกุล กรรมการผู้จัดการ บริษัท กรุงศรี ฟินโนเวต จำกัด ในเครือกรุงศรี เปิดเผยว่า ด้วยภาวะเศรษฐกิจซบเซาต่อเนื่องตั้งแต่สถานการณ์โควิด19 สตาร์ทอัพไทยส่วนใหญ่ติดกับดักอยู่ในช่วงระหว่าง Seed ถึง Pre-Series A เนื่องจากนักลงทุนในประเทศไทยยังมองว่าเป็นระยะที่มีความเสี่ยง จึงข้ามไปรอที่ Series A เลย สวนทางกับเทรนด์การลงทุนสตาร์ทอัพในประเทศอื่นๆ และในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ที่มุ่งให้การสนับสนุนสตาร์ทอัพตั้งแต่ระดับ Early Stage ค่อนข้างเยอะ
ดังนั้น กรุงศรี ฟินโนเวต และอีฟราสตรัคเจอร์ ที่อยู่ในสตาร์ทอัพอีโคซิสเต็มส์มานาน และทำงานใกล้ชิดกับสตาร์ทอัพจำนวนมาก จึงจับมือกันร่วมแก้ปัญหา โดยเตรียมจัดตั้ง กองทุนฟินโน อีฟรา ไพรเวท อิควิตตี้ ทรัสต์ (Finno Efra Private Equity Trust) หรือ “Finno Efra” เปิดโอกาสให้สตาร์ตอัประดับ Seed และ Pre-Series A ได้มีเงินลงทุนเพื่อการเติบโต โดยมีเป้าหมายหลักคือสร้างสตาร์ทอัพอีโคซิสเต็มส์ของไทยให้แข็งแกร่งขึ้น
“ภาพรวมของสตาร์ทอัพอีโคซิสเต็มส์ในประเทศไทย Corporate Venture Capital หรือ CVC เป็นกลุ่มหลักที่ให้การสนับสนุนและเข้ามาลงทุน โดยจะเน้นไปที่กลุ่ม Series A ขึ้นไปเป็นส่วนมาก สวนทางกับเทรนด์การลงทุนสตาร์ทอัพในต่างประเทศ ที่มุ่งให้การสนับสนุนสตาร์ทอัพตั้งแต่ Early Stage ดังนั้น “Finno Efra” จึงเป็นส่วนหนึ่งที่จะช่วยผลักดันให้สตาร์ทอัพอีโคซิสเต็มส์ไทยเติบโตและแข็งแกร่งขึ้น มีสตาร์ทอัพรายใหม่ๆ เกิดขึ้น”
สำหรับ Finno Efra Private Equity Trust เป็นกองทุนขนาด 1,300 ล้านบาท มาจากกรุงศรี ฟินโนเวต 200 ล้านบาท ส่วนที่เหลือมาจากกลุ่มลูกค้าองค์กรของธนาคารกรุงศรี และผู้สนใจทั่วไปที่จะเข้ามาลงทุนในกองทุนนี้ โดยมุ่งลงทุนสตาร์ทอัพที่อยู่ในช่วง Seed ถึง Pre-series A เป็นหลัก เน้นลงทุนในกลุ่ม Impact & Digital Transformation โดยสัดส่วนการลงทุนจะโฟกัสที่สตาร์ทอัพสัญชาติไทย ประมาณ 60% อีก 40% จะลงทุนในสตาร์ทอัพประเทศต่างๆ ในอาเซียน ซึ่งเทคสตาร์ทอัพกำลังเติบโตอย่างเห็นชัดเจน โดยยอดการลงทุนแต่ละดีลอยู่ที่ราว 8-40 ล้านบาทต่อกิจการ ทั้งนี้ ต้องเป็นไปตามกฎระเบียบที่เกี่ยวข้องและตามที่บริษัทกำหนด
นายพจน์ หะริณสุต ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน วรรณ จำกัด กล่าวว่า ความร่วมมือครั้งนี้ ถือเป็นการยกระดับตลาดทุนไทย และเพิ่มความหลากหลายให้กับสินทรัพย์ทางเลือก จากเดิมมักจำกัดอยู่ในตราสารทุน ตราสารหนี้ หรือสินค้าโภคภัณฑ์ ซึ่งที่ผ่านมา บลจ.วรรณ มุ่งมั่นที่จะนำร่องผลิตภัณฑ์การลงทุนรูปแบบใหม่ๆ มาโดยตลอด เพื่อให้ลูกค้ามีทางเลือกในการลงทุน และไม่พลาดโอกาสการลงทุนที่น่าสนใจ
ทั้งนี้ บลจ.วรรณ เตรียมนำเสนอขายกองทุนรวมที่มีนโยบายการลงทุนใน กองทุน Finno Efra Private Equity Trust ซึ่งเป็นกองทุนรวมแรกของประเทศไทยที่ลงทุนในธุรกิจสตาร์ทอัพ Pre-Series A เพื่อรองรับความต้องการลูกค้าประเภทกลุ่มนักลงทุนรายใหญ่พิเศษ (UI) ลงทุนขั้นต่ำเริ่มต้นเพียง 500,000 บาท โดยคาดว่าจะเปิดเสนอขายครั้งแรกพร้อมกองทรัสต์
อย่างไรก็ดีขณะนี้กองทุนอยู่ระหว่างการพิจารณาอนุมัติจากสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์
นายภาวุธ พงษ์วิทยภานุ ประธานกรรมการและผู้ก่อตั้ง บริษัท อีฟราสตรัคเจอร์ จำกัด เปิดเผยว่า นอกจากการลงทุนที่จำกัดแล้ว หลักสูตรหรือโปรแกรมที่ทำหน้าที่เป็นโค้ชให้คำปรึกษา และบ่มเพาะสตาร์ทอัพรายใหม่ๆ ก็ลดน้อยลงไปมาก ทั้งๆที่ Accelerator และ Incubator คือจิกซอว์สำคัญที่จะทำให้สตาร์ทอัพรายใหม่ๆ เกิดขึ้นและเป็นกำลังสำคัญช่วยให้สตาร์ทอัพประสบความสำเร็จมากขึ้น อีกทั้งเป็นตัวเชื่อมระหว่างผู้ลงทุนและสตาร์ทอัพได้เป็นอย่างดี
ดังนั้นสิ่งที่จะเกิดขึ้นคู่ขนานไปกับกองทุน Finno Efra คือ Finno Efra Accelerator Program เปิดโอกาสให้สตาร์ทอัพที่สนใจสมัครเข้ามาเรียนรู้ โดยเราจะใช้เครือข่าย ประสบการณ์และความเชี่ยวชาญที่มีสร้างให้หลักสูตรนี้ครอบคลุมในทุกๆ มิติที่สำคัญสำหรับสตาร์ทอัพ ออกแบบหลักสูตรให้สตาร์ทอัพที่เข้ามาได้พัฒนาศักยภาพของตนเองอย่างเต็มที่
ทั้งนี้ Finno Efra Accelerator Program จะใช้เวลาประมาณสี่เดือน โดยในแต่ละรอบจะเปิดรับสตาร์ทอัพประมาณ 10 บริษัทและสตาร์ทอัพที่เข้าร่วมเรียนในหลักสูตรนี้จะมีโอกาสได้รับเงินลงทุนจากกอง Finno Efra และพบกับนักลงทุนรายอื่นๆ อีกด้วย
