จอร์แดน…ดินแดนแห่งศาสนาอารยธรรมและสิ่งมหัศจรรย์ของโลก

0
742

A Journey to Another Milestone by KTC เปิดประสบการณ์ดีๆกับดินแดนในฝัน….จอร์แดน  ศูนย์รวมอารยธรรมโบราณ ยิว กรีก โรมัน อาหรับ ออตโตมัน มากมายมรดกโลกมหัศจรรย์ และศาสนาสำคัญของโลก  

ขอบคุณ เคทีซี กับอีกประสบการณ์ดีๆที่ชัดเจนในความทรงจำ  

ขอบคุณ ไกด์น้องเค  กับความรู้มากมาย สไตล์เล่าเรื่องฟังเพลินมาก

หลายร้อยปีก่อนคริสตกาล จอร์แดนคือเส้นทางที่ “โมเสส”  ผู้นำชาวฮีบรู หรือยิว ผู้สร้างตำนาน “แหวกทะเลแดง” พาพี่น้องยิวกว่า 1.4 ล้านชีวิต หนีการเป็นทาสของอียิปต์ กลับไปสู่แผ่นดินใหญ่คานาอัน หรือเยรูซาเลม ประเทศอิสราเอลในปัจจุบัน ด้วยเวลายาวนานกว่า 40 ปี  แต่ก็ไปถึงจุดหมาย  โมเสสหมดลมหายใจ ณ  เมาท์เนโบ  เสียก่อน

เหตุเพราะผิดสัญญากับพระเจ้า โมเสสเผลอบันดาลโทสะใช้อภินิหารทำให้พี่น้องยิวโดนธรณีสูบไปหลายพันคน  ด้วยต่างฝ่ายต่างไม่เข้าใจ ขณะที่โมเสสขึ้นเขาไปหาพระเจ้าเพื่อไปรับบัญญัติ 10 ประการ  พี่น้องยิวที่รออยู่ข้างล่างนานกว่า 40 วัน เริ่มคลางแคลงใจคิดว่าโดนโมเสสหลอก  จึงหาความสุขกันด้วยการดื่มจนเมามาย เมื่อโมเสสกลับลงมาเห็นภาพเช่นนั้นจึงบันดาลโทสะจนเกิดเหตุเศร้าสลด

ด้วยศรัทธาและความเชื่อที่ว่า ศพของโมเสสฝังอยู่บนยอดเขาแห่งนี้  จึงมีการสร้างโบสถ์เมาท์เนโบ  พิพิธภัณฑ์  และจำลองไม้เท้าศักดิ์สิทธิ์คู่กายโมเสสไว้บนจุดสูงสุดของยอดเขา ซึ่งเป็นจุดชมวิวแบบพานอรามา มองได้ไกลสุดสายตา ถึงดินแดนแห่งพันธะสัญญาเยรูซาเลม

ตามรอยโมเสสกันต่อไปใน”โบสถ์แห่งเมาท์เนโบ” โบสถ์กรีก-ออร์ทอดอกซ์  สร้างราวปี ค.ศ.600 ช่วงยุคไบแซนไทน์ พื้นโบสถ์ตระการตาด้วยโมเสก 2 ล้านกว่าชิ้น แสดงแผนที่ดินแดนศักดิ์สิทธิ์รอบทะเลเมดิเตอร์เรเนียน เยรูซาเลม แม่น้ำจอร์แดน ทะเลเดดซี เขาไซนาย และอียิปต์  เพื่อเป็นที่ระลึกถึงโมเสส   ต่อมาในปี 2543 เมื่อ“สมเด็จพระสันตะปาปาจอห์น ปอลที่ 2” เสด็จมาแสวงบุญ  และได้ประกาศให้ดินแดนแห่งนี้เป็นดินแดนศักดิ์สิทธิ์

เจอราช มหัศจรรย์เมืองพันเสา  

ปอมเปอีแห่งตะวันออกกลาง

จากโมเสส  เข้าสู่สมัยพระเยซูคริสต์  เมื่อโรมันเข้าครอบครองตะวันออกกลาง  อาคารสถาปัตยกรรมต่างๆ อบอวลไปด้วยกลิ่นไอโรมัน  และที่ยังคงสภาพสมบูรณ์ที่สุด คือ “เจอราช” หรือเมืองพันเสา เมืองที่จักรพรรดิเฮเดรียนแผ่ขยายอำนาจไปไกลถึงจอร์แดน แล้วตั้งเจอราชเป็น 1 ใน 10 หัวเมืองเอก ที่มีความมั่งคั่งสำคัญและใหญ่ที่สุดในตะวันออกกลาง     

คณะเรารวมพลกันที่ซุ้มประตูหินทางเข้า Hadrian’s Arch ซึ่งได้บูรณะขึ้นใหม่จากโครงสร้างเดิมเพื่อถวายเป็นเกียรติต่อการเสด็จประพาสกรุงเจอราชของกษัตริย์เอเดรียน ในปี ค.ศ.129-130  เดินผ่านประตูทางเข้าไปไม่ไกลก็เจอ ลานแข่งรถม้าประจำเมือง ที่บางครั้งใช้เป็นสนามต่อสู้ของนักรบ Gladiator  ที่เรียกว่า “ฮิปโปโดม” ใหญ่โตขนาดจุคนได้นับหมื่น

เดินต่อเรื่อยไปจะพบกับความอลังการของลานเอนกประสงค์ (Oval Plaza) ที่ล้อมรอบด้วยเสาคอรินเทียม (Corinthium)  กว่า 160 ต้น  เรียงรายโดดเด่นเป็นแลนด์มาร์ครูปวงรี พื้นตรงกลางปูด้วยหินขนาดใหญ่ ใช้เป็นสถานที่พบปะสังสรรค์ของชาวเมืองเจอราช   และเป็นจุดเชื่อมถนนทุกทิศไปยังสถานที่สำคัญ อย่าง น้ำพุใจกลางเมือง อัฒจรรย์โรมัน  วิหารเทพซุส วิหารเทพีอาร์เทมีส  ด้วยถนนโคลอนเนด ถนนสายหลักที่ใช้เข้า-ออกได้อย่างลงตัว

เจอราช รุ่งเรืองสุดในช่วง 400 ปีก่อนคริสตกาล  แต่เหตุการณ์แผ่นดินไหวหลายครั้ง กระทั่งครั้งใหญ่สุดถล่มทำลายเมืองไปแทบราบคาบ  เจอราชจนกลายเป็นเมืองที่ถูกทิ้งร้างและหลงลืมไปจากหน้าประวัติศาตร์โลกนับพันปี จนมาขุดพบในปี ค.ศ.1878  รัฐบาลจอร์แดนจึงได้บูรณะนครโรมันแห่งนี้ให้มีชีวิตชีวา  ฟื้นความวิจิตรงดงามของเมืองกลับมาเป็นสถาปัตยกรรมโรมันที่ยิ่งใหญ่ในตะวันออกกลางอีกครั้ง

เพตรา  เมืองมรดกโลกในหุบผา

ล้ำค่าศิลปะ “นาบาเทียน”

อีกอาณาจักรสำคัญที่ร่วมสมัยกับโรมัน คือ นาบาเทียน  อาณาจักรของชาวพื้นเมือง ผู้สร้าง “เพตรา”  มหานครสีชมพู  หนึ่งในเจ็ดสิ่งมหัศจรรย์ของโลกยุคใหม่   ที่ซ่อนตัวอยู่ในหุบเขาวาดี มูซา (Wadi Musa Valley) หรือหุบเขาโมเสส (Valley of Moses)  อดีตศูนย์กลางทางการค้า และจุดพักกองคาราวานสินค้าที่สัญจรระหว่างตอนใต้ของคาบสมุทรอาระเบีย ซีเรีย อียิปต์ และเมืองท่าบนชายฝั่งทะเลเมดิเตอร์เรเนียน

พยากรณ์อากาศแม่นเป๊ะ  ฝนแรกในรอบหลายปีโปรยต้อนรับแต่เช้า  คณะเรารอดูท่าทีกันสักพัก เมื่อฝนซาเม็ด  ชุดกันฝนและร่มพร้อม จะรออะไร จากที่พัก Petra Moon Luxury Hotel เดินไปไม่กี่ก้าว ก็ถึงทางเข้ามหานครเพตรา  ชาวคณะพร้อมใจพากันลุย

หนึ่งเสน่ห์ของเพตรา เรียกว่า “ซิค (Siq)” หรือช่องแคบทางเดินระหว่างผาหินสูงชันเคี้ยวคด ที่เกิดจากการแยกตัวของเปลือกโลกและน้ำกัดเซาะเมื่อหลายล้านปีก่อน จนเกิดเป็นริ้วสายลายเส้นบนผนังหินงามงด ตลอดเส้นทางกว่า 1,200 เมตร ที่นำไปสู่มหาวิหารบนหน้าผาหินทรายศักดิ์สิทธิ์ เอล-คาซเนท์ ( Al-Khazneh หรือ The Treasury ที่เชื่อกันว่าเป็นที่เก็บซ่อนขุมสมบัติของกษัตริย์ฟาโรห์แห่งอียิปต์  ช่างนาบาเทียนแกะสลักภูเขาสูงเกือบ 40 เมตร โดยผสมผสานสถาปัตยกรรมแบบกรีก อียิปต์ และเปอร์เซีย จนกลายเป็นสถาปัตยกรรมนาบาเทียน ที่สะกดทุกสายตานะจังงัง

ระหว่างทางฝนเทสลับซา  น้ำตรงทางเดินเริ่มหลากไหล ปริมาณน้ำขังสูงขึ้นเรื่อยๆ บางจุดท่วมเลยข้อเท้า ถุงซิปล๊อคที่เราสวมกันถุงเท้าเปียก เอวังพังพินาศ ณ จุดนี้ จุดที่ก้าวพลาด….จมพรวด 

อนูแห่งความงาม กวักมือเรียกให้เดินฝ่าลม ฝน ลึกเรื่อยเข้าไปในเพตรา ป้าดดดดโธ่!!!!  ไม่ว่าจะมองมุมไหน ก็อดอุทานว๊าววไม่ได้สักมุม ทั้ง     โรงละครโรมัน (Roman Amphitheatre) ที่แกะสลักภูเขาหินทั้งลูก รองรับผู้ชมได้กว่า 3,000 คน หมู่สุสานราชวงศ์นาบาเทียน (The Street of Facade)  และมหาวิหาร (The Great Temple) ช่างสวยงามตามอิทธิพลกรีก-โรมัน

และที่ต้องว๊าววววยาวๆ คือ ร่องน้ำตลอดทางเดิน ด้วยความเป็นเมืองทะเลทรายแห้งแล้งฝนตกน้อยมาก  ชาวนาบาเทียนจึงสกัดร่องน้ำ ให้เป็นทางน้ำไหลเข้าสู่บ่อกักเก็บน้ำในเมือง ฉลาดล้ำสมกับความยิ่งใหญ่และเป็นศูนย์กลางการค้าในสมัยนั้นยิ่งนัก

ฝนวันนั้น ทำให้อิ่มหนำกับประสบการณ์แปลกใหม่ จากแผนเดิมที่ต้องขี่ลา ย้อนไปThe Treasury  กลับโรงแรม   ต้องปรับไปตามสถานการณ์ บางส่วนที่ขี่ลาไปถึง The Treasury  เจออุทกภัยพอดี ต้องปีนขึ้นที่สูง รอรถกระบะทยอยรับออกไป  บางส่วนที่กำลังขี่ลาไป ต้องยูเทิร์นกลับมาที่ร้านอาหาร ส่วนแก๊งค์เราตั้งใจจะเดินเท้ากลับไป เมื่อสวนกับคณะที่ย้อนกลับมาพร้อมตะโกนบอกว่าน้ำท่วมแล้วออกไปไม่ได้  จึงแวะจิบกาแฟแก้หนาวที่ร้านข้างทาง  ระหว่างนั้นก็เดินเชิดหน้าฝ่าลูกเห็บออกไปดูกระแสน้ำจากลำธารส่งน้ำที่เชี่ยวกรากขึ้นเรื่อยๆ

ด้วยภูมิประเทศที่เป็นทางลาดจากซอกเขาเข้าสู่เมือง  จึงเป็นป้อมปราการทางธรรมชาติและเป็นชัยภูมิที่ดีสำหรับการรบ แต่ถ้าฝนตกจะกลายเป็นข้อด้อยใสทันที The Treasury  จึงกลายเป็นแอ่งกระทะรับน้ำด่านแรกที่ทะลักไหลเข้ามาจากทุกทิศทาง   

ทีมพีอาร์เคทีซี และทีมไกด์ ปรับแผนใหม่ให้กลุ่มที่รออยู่ร้านกาแฟและร้านอาหารเดินขึ้นเขาอ้อมไปอีกด้านเพื่อขึ้นรถกระบะออกทางถนนด้านหลังเขากลับโรงแรม อื้อหืออออ!!! ภาพวิวพานารามาบนยอดเขานั้น คือทิวเขาลดหลั่นซ้อนกันผ่านม่านหมอกไอฝน ไกลจนสุดสายตา บางช่วงเขาเว้าเข้าไปเป็นถ้ำให้ อูฐ ลา ได้พักหลบฝน…เป็นภาพที่สวยอัศจรรย์งามเกินบรรยาย

ทุกสิ่งล้วน เกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป…เพตราเจริญถึงขีดสุดในช่วง 50 ปีก่อนคริสตกาล จนถึงคริสต์ศักราชที่ 70  ก็ถูกเข้ายึดครองสับเปลี่ยนมือเรื่อยมา ทั้งจากโรมัน และอาหรับ  ต่อมาเมื่อมีเส้นทางการค้าที่สะดวกกว่าอย่างอ่าวสุเอซ  รวมทั้งเกิดแผ่นดินไหวเพตราก็ถึงกาลล่มสลาย  จมหายสาบสูญไปตามกาลเวลากว่า 700 ปี

กระทั่ง โยฮันน์ ลุดวิก บวร์กฮาร์ท นักสำรวจชาวสวิสได้ค้นพบนครศิลาแห่งนี้ในปี ค.ศ. 1812 เพตรา จึงกลับมาเกิดในแผนที่อีกครั้ง และตอกย้ำคุณค่าเมืองโบราณเมื่อ UNESCO ขึ้นทะเบียนเป็นเมืองมรดกโลกในปี ค.ศ. 1985

สิ้นยุคโรมัน ตะวันออกกลางกลายเป็นศูนย์กลางศาสนาอิสลาม  จอร์แดนลดสถานะเป็นแค่แควันหนึ่งของจักรวรรดิ์  เพราะแต่ละสมัยของอิสลามมีเมืองหลวงแยกกันไป เช่น เมกกะ แบกแดด ไคโร อิสตันบลู จนมาถึงสมัยสุดท้าย คือ ออตโตมัน ที่ปกครองจอร์แดนมาถึงยุคสงครามโลกครั้งที่ 1

หลังสงครามโลกครั้งที่ 1  จอร์แดนยังคงอยู่ใต้อาณัติของอังกฤษอีกพักใหญ่  โดยอังกฤษตั้งกษัตริย์อาณาจักร ทรานส์จอร์แดน โดยรวมพื้นที่จอร์แดนและอิสราเอลเข้าด้วยกัน

จากนั้นหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 จอร์แดนจึงได้รับเอกราชจากอังกฤษ แต่ก็มีสงครามกับชาวยิวที่ต้องการก่อตั้งอิสราเอลขึ้นใหม่ จอร์แดนเสียดินแดนฝั่งตะวันตกของทะเลสาบเดดซี  จนกระทั่งมีการเจรจาสันติภาพในปี 1994 ยุติสงคราม 46 ปีลง

จนถึงวันนี้จอร์แดน เป็นประเทศที่สงบ ปลอดภัย แม้จะมีพื้นที่ติดกับอิสราเอล อิรัก ซีเรีย ซาอุดิอาระเบีย ที่อบอวลไปด้วยสงครามและการก่อการร้าย  เพราะรัฐบาลดำเนินนโยบายส่งเสริมแนวทางอิสลามสายกลาง เป็นมิตรกับทุกประเทศ เพื่อความมั่นคงทางการเมืองในภูมิภาคตะวันออกกลาง จอร์แดน จึงเป็นหนึ่งจุดหมายที่นักเดินทั้งหลายทางต้องปักหมุด 

ธรรมชาติและมนุษย์ชาติสร้างสรรค์

“วาดิรัม”ทะเลทรายสวยที่สุดในโลก

ช่วงสงครามโลกครั้งที่ 1  นายทหารชาวอังกฤษ T.E. Lawrence ที่รู้จักกันในภาพยนตร์ดัง Lawrence of Arabia จับมือเจ้าชายไฟซาล ผู้นำแห่งอาหรับ บุกตี “อัคคาบา” เมืองท่าสำคัญของ ออตโตมัน แล้วนำกองทหารเดินขึ้นเหนือ ไปซุ่มอยู่หุบเขากลางทะเลทรายวาดิรัม  เข้าไปตีเมืองดามัสกัส  หวังปลดแอกอาหรับจากออตโตมัน

วาดิรัม  เป็นหนึ่งในทะเลทรายที่สวยที่สุดในโลก  ด้วยผืนทะเลทรายสีส้มอมแดงละเอียดดุจผงแป้ง กว้างใหญ่ ไกลสุดลุกหูลุกตา สลับกับภูเขาหินทราย และหน้าผาสูงชัน ที่ชาวนาบาเทียนแกะสลักภาพวิถีชีวิตไว้ก่อนไปสร้างเมืองเพตรา และยังมีสถานที่ประกอบพิธีกรรมของเผ่าเบดูอิน เป็นหลักฐานว่าทะเลทรายแห่งนี้มีมนุษย์อยู่อาศัยตั้งแต่ 8,000 ปีก่อนคริสตกาล 

คณะเราไปถึงวาดิรัม ในวันที่ฟ้าใส  แดดไม่แรงมาก แถมฝุ่นทรายก็น้อยกว่าที่เคย  เพราะฝนตกเมื่อวันก่อนคาราวานรถ 4×4  ขับเรียงแถวแบ่งไปเป็นชุดๆ ชุดละ 6 คัน  สมาชิกนั่งท้ายกระบะคันละ 6 คน มุ่งหน้าสู่ความเวิ้งว้างอันไกลโพ้นแห่งภูเขา หินผา  ท้องฟ้าและผืนทราย  กับแสงแดดชโลมกาย  และสายลมเย็นฉ่ำพัดกระหน่ำผิว สัมผัสได้ถึงความยิ่งใหญ่ของธรรมชาติที่สงบงาม และมนต์เสน่ห์ไปอีกแบบ  

ด้วยลักษณะภูมิประเทศที่สวยงาม แปลกตาของ วาดิรัม จึงเข้าตากองถ่ายภาพยนตร์ฮอลลีวูดที่ดังเป็นพลุแตก อย่าง Aladin  และที่สื่อถึงดวงดาว อย่าง The Martian  รวมไปถึง Star War : The Rise of Skywalker  วาดิรัม จึงได้รับอีกหนึ่งฉายาอย่างไม่เป็นทางการว่า “ดาวอังคาร”

ระหว่างทางที่รถวิ่งผ่านช่องหุบเขา  จะมีแคมป์ที่พักหลายแห่ง หลากสไตล์   ไม่ว่าจะเป็นแบบท้องถิ่นบ้านๆ  หรือแบบไฮโซ กินหรูอยู่สบาย วาดิ รัม  มีให้นักท่องเที่ยวเลือกสรรได้ตามใจชอบ

แวะชมทุกไฮไลต์แห่งท้องทะเลทราย วาดิ รัม ทั้งหินหน้า Sphinx ภาพวาดและภาพแกะสลักโบราณ จุดพักของ Lawrence แห่งอาราเบีย  แวะจิบชาร้อนๆแกล้มขนมท้องถิ่นอร่อยละมุนลิ้นในแคมป์ของชาวเบดูอิน ก่อนปิดท้ายฟินๆกับการขี่อูฐท่องทะเลทราย  

ไกด์น้องเค แนะนำเทคนิคการขี่อูฐไว้ว่า อูฐจะยกขาหน้าขึ้นก่อนเสมอ ก่อนขึ้นอูฐจะย่อตัวลงกับพื้นให้เราตะกายขึ้นแท่น จำโหนกให้แม่นแล้วท่องไว้  ยกขาหน้าขึ้นเมื่อไหร่ให้โยกตัวไปด้านหน้าเพื่อบาลานซ์น้ำหนัก อูฐตัวที่เรานั่งตัวสูงใหญ่ เดินชูคอโยกซ้ายย้ายขวา นำหน้าขบวนไปโดยมีสายเชือกผูกก๊วนอูฐมาอีก 2 ตัว เท่ากับว่าอูฐ 3 ตัวมีคนจูง 1 คน

แรกๆสองมือกำโหนกแน่น ผ่านไปสักครู่เริ่มปล่อยตัวไปตามจังหวะก้าวสบายๆ แต่ต้องระวังน้ำลายฟองฟอด ที่ปลิวตามแรงลมพัดเป็นระลอกๆ  นั่งไปก็จินตนาการไปถึงกองคาราวานเส้นทางสายไหม ต้องอดทนกันขนาดไหนกว่าจะไปถึงที่หมาย   เพลินจนเกือบลืมไปว่าขาลง อูฐก็จะย่อขาหน้าก่อนเช่นกัน  เราต้องเอนตัวไปข้างหลังเพื่อบาลานซ์น้ำหนัก โอเคปลอดภัย ลงจากหลังอูฐได้สวยๆ   

สปาธรรมชาติที่ Dead Sea ทะเลที่ไม่มีวันจม

Dead Sea  ทะเลสาบน้ำเค็มที่เค็มที่สุดในโลก ลักษณะเป็นแอ่งน้ำกลางทะเลทราย ตั้งอยู่ในจุดต่ำที่สุดในโลก ต่ำกว่าระดับน้ำทะเลถึง 420 เมตร มีความหนาแน่นของเกลือสูงถึง 30% เมื่อเทียบกับทะเลทั่วไปที่มีเพียง 3% เท่านั้น  ความเค็มเข้มข้นขนาดคนที่ว่ายน้ำไม่เป็นลอยตัวได้   จึงไม่มีสิ่งมีชีวิตอยู่อาศัย ยกเว้นแบคทีเรียและเห็ดราบางชนิด อันเป็นที่มาของคำว่า เดดซี (Dead Sea) หรือทะเลมรณะนั่นเอง

ทะเลมรณะแห่งนี้ มีต้นกำเนิดจากแม่น้ำจอร์แดน แต่ด้วยความที่เป็นทะเลปิดไม่มีทางออกสู่ทะเลอื่น น้ำในทะเลเดดซี จึงระเหยออกไปด้วยอุณหภูมิที่ร้อนระอุ  โดยมีน้ำจากแม่น้ำจอร์แดนไหลเติมเข้ามาใหม่   ซึ่งเป็นน้ำที่อุดมไปด้วยโซเดียมหรือแมกนีเซียม แล้วก็ระเหยวนไป จนทะเลสะสมแร่ธาตุและเกลือมากขึ้น 

โคลนท้องทะเลที่นี่ จึงเป็นโคลนที่ดีที่สุดในโลก  และเป็นอีกหนึ่งกิจกรรมไฮไลต์ที่ใครมาแล้วต้องลงทะเลลอยตัว และพอกหน้าทำสปาโคลน   ซึ่งว่ากันว่าอุดมไปด้วยแร่ธาตุและวิตามิน ที่มีประโยชน์กับร่างกาย  ทั้งด้านผิวพรรณ ที่ช่วยต่อต้านอนุมูลอิสระที่ก่อให้เกิดปัญหาผิวต่างๆ เช่น ริ้วรอย สิว ฝ้า กระ ผิวหมองคล้ำ ช่วยเพิ่มกลไกการทำงานของเซลล์ให้แข็งแรงขึ้น เร่งเสริมสร้างเซลล์ผิวใหม่ บรรเทาอาการแพ้ระคายเคืองหรืออักเสบ   และยังช่วยปรับสมดุล  กระตุ้นการไหลเวียนของโลหิตอีกด้วย

จอร์แดนเข้าขั้นวิกฤตขาดแคลนน้ำ

หรืออีก 50 ปี Dead Sea จะสาบสูญ

ปัญหาใหญ่ของทะเลสาบเดดซี คือระดับน้ำที่ลดลงแทบทุกปี ปีละเกือบเมตร จากปริมาณน้ำในแม่น้ำจอร์แดนที่ลดลงอย่างรวดเร็ว  จากความต้องการใช้น้ำของประเทศโดยรอบที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว  จนทุกวันนี้ จอร์แดน อิสราเอล และประเทศที่อยู่ติดกับทะเลสาบขาดแคลนน้ำขั้นรุนแรง  ดังนั้นน้ำที่ผันมาสู่ทะเลสาบเดดซีจึงมีเพียง 5 % อีกทั้งพื้นที่ส่วนใหญ่เป็นทะเลทราย รับน้ำฝนได้น้อยมากๆแค่ 65 มิลลิเมตรต่อปี  พื้นที่ทะเลสาบวันนี้จึงสูญหายไปกว่า 1 ใน 3 และคาดว่าระดับจะลดลงเรื่อยๆ จนไม่เหลือน้ำในทะเลอีกเลยในอีก 50 ปี   

แม้ข่าวว่าทางการจอร์แดน พยายามคิดหาวิธีป้องกันด้วยการขุดคลอง 200 กิโลเมตร เชื่อมกับทะเลแดงเพื่อเพิ่มระดับน้ำในทะเล  แต่ก็ต้องใช้เงินทุนมหาศาลกว่า 1,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ หรือราว 40.000 ล้านบาท  ขณะที่ชาวชาวจอร์แดนก็พยายามปรับตัว  ทั้งผันน้ำมาใช้ ทั้งขุดน้ำบาลดาล แต่ก็เป็นน้ำในชั้นหินที่มีโอกาสจะหมดไปในอนาคตเช่นกัน

มีเรื่องเล่าแต่เก่ากาล ถึงเมืองโบราณไซดอมและทอมเมอร์ราห์  ที่เต็มไปด้วยผู้คนที่ไม่เชื่อในพระเจ้า  ยกเว้นโลกและครอบครัว   พระเจ้าจึงได้ส่งทูตสวรรค์ลงมาบอกกล่าวแก่โลกและครอบครัวว่า จะทำลายเมืองที่เต็มไปด้วยคนบาปแห่งนี้  ขอให้โลกและครอบครัวออกจากเมืองนี้ไป  ไม่ว่าจะได้ยินเสียงอะไรอย่าได้หันกลับมามอง  จากนั้นเมืองโบราณก็หายไป กลายเป็นทะเลสาบเดดซี

บัดนี้ เดดซี ส่งสัญญานเตือนภาวะวิกฤตโลกขาดแคลนน้ำ  จอร์แดนคือตัวอย่างที่ชัดเจนของภาวะโลกร้อนที่ส่งผลกระทบต่อชีวิตมนุษย์   คงไม่ต้องรอพระเจ้าส่งฑูตสวรรค์มาบอกกล่าวแจ้งเตือนใดๆ อนาคตของดินแดนมหัศจรรย์จะยังอยู่หรือสูญสิ้นไป  อยู่ในกำมือของมนุษย์โลกที่ต้องช่วยกันแก้ปัญหาโดยแท้

ขอบคุณ เคทีซี กับอีกประสบการณ์ดีๆที่ชัดเจนในความทรงจำ  

ขอบคุณ ไกด์น้องเค  กับความรู้มากมาย สไตล์เล่าเรื่องฟังเพลินมาก