ศูนย์วิเคราะห์เศรษฐกิจและกลยุทธ์ทิสโก้ แนะนักลงทุนลดน้ำหนักการลงทุนในหุ้นโลก และซื้อตราสารหนี้สหรัฐฯ ชี้กรณีเศรษฐกิจโลกเข้าสู่ภาวะถดถอยในปี 2567 พันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯจะสร้างผลตอบแทนที่น่าสนใจกว่าหุ้นโลก และช่วยกระจายความเสี่ยงให้กับพอร์ตลงทุน
นายคมศร ประกอบผล หัวหน้าศูนย์วิเคราะห์เศรษฐกิจและกลยุทธ์ทิสโก้ เปิดเผยว่า ยังคงแนะนำนักลงทุนให้ลดน้ำหนักการลงทุนในหุ้นโลก และเพิ่มน้ำหนักการลงทุนในสินทรัพย์ปลอดภัย เช่น ตราสารหนี้ โดยเฉพาะพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ ในกรณีที่เศรษฐกิจโลกเข้าสู่ภาวะถดถอยในปี 2567 และธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) ต้องกลับมาลดดอกเบี้ยลงเร็วและแรงกว่าที่คาด อาจทำให้ผลตอบแทนรวมจากการลงทุนในพันธบัตรเพิ่มขึ้นมากกว่า 10% จึงมองว่าการลงทุนพันธบัตรคาดหวังผลตอบแทนได้สูงกว่าตลาดหุ้นโลก และช่วยกระจายความเสี่ยงของพอร์ตการลงทุนได้ดีกว่า
แม้ในช่วงที่ผ่านมาตลาดหุ้นโลกจะปรับฐานลงมาตามคาด จากแรงกดดันจากบอนด์ยิลด์ที่พุ่งขึ้น และตัวเลขเศรษฐกิจที่ส่งสัญญาณชะลอตัวลง แต่ศูนย์วิเคราะห์เศรษฐกิจและกลยุทธ์ทิสโก้ยังคงแนะนำให้นักลงทุนลดน้ำหนักการลงทุนในหุ้นโลก เนื่องจากเศรษฐกิจอาจชะลอตัวมากกว่าคาด และอาจนำไปสู่การปรับลดคาดการณ์ผลกำไรของตลาดหุ้น และเพิ่มน้ำหนักการลงทุนในสินทรัพย์ปลอดภัย เช่น ตราสารหนี้ โดยเฉพาะพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ ที่มีอัตราผลตอบแทนในระดับสูง มีความเสี่ยงผิดนัดชำระหนี้ต่ำ และมีโอกาสสร้างผลตอบแทนที่น่าสนใจ
“ปัจจุบันอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ (Bond Yield) เคลื่อนไหวอยู่ในระดับ 4.5% และคาดว่าจะเคลื่อนไหวอยู่ในระดับนี้ในระยะสั้น ก่อนจะลดลงสู่ระดับที่ 3.9-4.0% ช่วงสิ้นปี 2566 ตามแนวโน้มเศรษฐกิจที่ชะลอตัวลงในช่วงท้ายปี หากเป็นไปตามคาด การลงทุนในพันบัตรอายุ 10 ปี จะได้รับผลตอนแทนจากส่วนต่างของราคาอีก 2-3% เพิ่มเติมจากผลตอบแทนจากดอกเบี้ยที่ราว 4.5% จะทำให้ผลตอบแทนรวมในรูปเงินสกุลดอลลาร์สหรัฐฯ เพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 6-7% ในกรอบระยะเวลาการลงทุน 1 ปี แต่หากเศรษฐกิจโลกเข้าสู่ภาวะถดถอยในปีหน้า และ Fed ต้องกลับมาลดดอกเบี้ยลงเร็วและแรงกว่าที่คาด จะส่งผลให้บอนด์ลดลงมาอยู่ที่ระดับ 3.0% ซึ่งในกรณีนี้ผลตอบแทนรวมจากการลงทุนในพันธบัตรอาจเพิ่มขึ้นเป็นมากกว่า 10%” นายคมศรกล่าว