นายดลเดช สัจจวีระกุล รองกรรมการผู้จัดการ บริษัท วิริยะประกันภัย จำกัด (มหาชน) นำคณะผู้บริหารจัดกิจกรรม สานสัมพันธ์สื่อมวลชน ภายใต้โครงการ “อยากเล่าเรื่องให้เพื่อนฟัง” ครั้งที่ 10 ตอน “บนเส้นทางวิชาชีพตัวแทน วันวาน > วันนี้ > วันหน้า” เพื่อถ่ายทอดประสบการณ์เกี่ยวกับหลักการดำเนินงานของตัวแทนประกันวินาศภัย ซึ่งเป็นกำลังสำคัญในการร่วมพัฒนาบริษัทฯ ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน สู่แผนการพัฒนาประสิทธิภาพการดำเนินงานของตัวแทนฯ ในอนาคต โดยยังคงเน้นการเข้าถึงลูกค้าโดยตรง ด้วยความซื่อสัตย์ จริงใจ และเป็นธรรม เป็นหลักพื้นฐาน และใช้เครื่องมือทางเทคโนโลยีส่งเสริมการดำเนินงานดังกล่าว เพื่อสร้างความพึงพอใจสูงสุดแก่ลูกค้าผู้เอาประกันภัย
“ตลอดระยะเวลาที่ได้ทำงานที่ วิริยะประกันภัย ถือว่าเป็นเวลาที่มีความสุขมาก เพราะที่นี่ได้ให้ประสบการณ์ ความรู้ ให้แนวคิดและสู้กับภาวะเศรษฐกิจ การแข่งขัน หากมองย้อนกลับไปได้อยู่กับตัวแทนนายหน้าค่อนข้างมาก และมีความหลากหลาย มีความผสมสานกันไป ในหลากหลายอายุ หลากหลายกลุ่มคน ในช่วงเวลา 40 ปี”
นายดลเดช เล่าต่อว่า ในช่วงเริ่มต้นของการทำงานกับตัวแทนนายหน้า เมื่อ 40 ปีก่อน ไม่มีการแข่งขัน แต่วิธีการทำงานของตัวแทน นายหน้าขณะนั้น คือ การได้เข้าไปพบปะกับลูกค้า ซึ่งถนนหนทางไม่ได้สะดวกสบายอย่าที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน ในช่วงนั่นได้อยู่กับวิริยะแรกๆ แต่หาลูกค้า ไปนั่งคุยกันเป็นแบบ เพื่อนฝูง ญาติ ไม่ได้ไปพบเพื่อขายประกัน สวนทางกับหน้าที่ของตัวแทน ที่ต้องขายประกัน แต่เมื่อคุยกัน ไปมาหาสู่กันเรื่อยๆจนเป็นพี่ เป็นน้อง เป็นเพื่อนกัน ก็ทำให้การนำเสนอขายเป็นไปโดยไม่รู้ตัว และมีการดูแลกันต่อๆ มาระหว่างตัวแทนกับลูกค้ามีความต่อเนื่อง จากรุ่นสู่รุ่น จะเห็นภาพแบบนี้
“อาชีพตัวแทนไม่เหมือนอาชีพอื่น เป็นอาชีพที่ต้องทำความเข้าใจในอาชีพ หากเป็นอาชีพอื่นจะต้องใช้วิธีการติดต่อสื่อสารแบบเปลี่ยนแปลงไปตามยุคสมัย ซึ่งจะเห็นว่าเมื่อ 40 ปีที่แล้ว ผมอยู่ที่วิริยะประกันภัย ตั้งแต่บริษัทมีเบี้ยประกันภัย ร้อยกว่าล้านบาท จนถึงวันนี้มีเบี้ยประกันภัยกว่า 40,000 ล้านบาท จนวันนี้เรามีจำนวนตัวแทนนายหน้าที่มากที่สุด ด้วยแนวทางของ คุณสุวพร ทองทิว ที่ต้องการเปิดกว้างสำหรับอาชีพตัวแทนนายหน้า ทำให้วิริยะประกันภัย ประสบความสำเร็จ เป็นบริษัทประกันวินาศภัยอันดับหนึ่งที่มียอดขายประกันภัย ผ่านช่องทางตัวแทนนายหน้าเป็นสัดส่วนที่มากที่สุด” นายดลเดช กล่าว
ในห้วงเวลา 15-20 ปีที่ผ่านมา ไม่คิดช่วงโควิด เพราะถือว่าเป็นสถานการณ์ที่สุดวิสัย ที่มนุษย์จะคอนโทรลได้ บริษัทประกันภัยมีความทันสมัยขึ้น มีการใช้ระบบ ไอที อินเตอร์เน็ต มีระบบสารสนเทศที่ถูกนำมาใช้เป็นเครื่องมือในการทำงานมากขึ้นมาก นับว่าเป็นยุคเฟื่องฟูของธุรกิจประกันภัย ทั้งนี้เห็นได้จากลูกค้า และประชาชนทั่วไป ให้ความสนใจในธุรกิจประกันภัยกว้างขวาง มีการตื่นตัวในเชิงธุรกิจ ฐานลูกค้ากว้าง มีผู้เล่นใหม่ๆเข้ามาแข่งขันมากขึ้น มากจนมีบางช่วงที่มีการแข่งขันกันไปตาย แม้รู้ว่าจะตายก็ยังไม่เลิกแข่งขันกัน ทั้งนี้ในการแข่งขันที่รุนแรงนั้น บริษัทประกันภัยเองก็ลืมนึกถึงต้นทุนที่พุ่งสูงขึ้น โดยเฉพาะเมื่อช่วง 5-6 ปีที่ผ่านมา แต่ถึงที่สุดก็ไม่ตาย
ในช่วงที่ตลาดประกันภัยเฟื่องฟู คนที่สนใจอาชีพตัวแทนนายหน้าประกันภัยก็มีเพิ่มขึ้น ทำให้วิริยะประกันภัย มีตัวแทนนายหน้าเข้ามาทำงานกับบริษัทเพิ่มขึ้น ซึ่งนับว่าเป็นกำลังสำคัญโดยสามารถสร้างยอดขายได้เป็นจำนวนมามาก ทั้งนี้ในช่วงครึ่งปีแรกบริษัทยังสามารถรักษายอดขายประกันรถยนต์ได้ในภาวะที่ยอดขายรถยนต์ซบเซาและการแข่งขันที่รุนแรง ซึ่งได้ 2 ช่องทางสำคัญที่มีส่วนช่วยไว้คือ 1. ช่องทางตัวแทนและนายหน้าบุคคลธรรมดา ที่ปัจจุบันสามารถสร้างเบี้ยประกันให้กับบริษัท คิดเป็นสัดส่วน 30% ของเบี้ยรับรวม โดยมีจำนวนตัวแทนและนายหน้าบุคคลธรรมดาอยู่ทั้งหมด 3,400 ราย ซึ่งถือว่ามากที่สุดในอุตสาหกรรมฯ และ 2. ช่องทางนายหน้านิติบุคคล ที่สร้างเบี้ยประกันให้กับบริษัท คิดเป็นสัดส่วนอีก 30%
อย่างไรก็ตาม แม้การแข่งขันที่รุนแรง แต่บริษัทก็ยังสามารถรักษายอดขายประกันได้อย่างมั่นคง โดยไม่แกว่งไปแกว่งมา ซึ่ง 2 ช่องทางนี้ถือเป็นฐานเบี้ยหลักที่สำคัญ แต่อย่างไรก็ดีช่องทางที่เหลืออีก 40% ไม่ว่าจะเป็นงานสถาบันการเงิน ดีลเลอร์ และกลุ่มงานอื่น ๆ ก็มียอดขายเข้ามาอย่างต่อเนื่องเช่นกัน
สำหรับแผนธุรกิจช่วงครึ่งปีหลัง มีเป้าหมายในการเพิ่มจำนวนตัวแทนและนายหน้าบุคคลธรรมดารายใหม่อีกประมาณ 200 ราย เพื่อเข้ามาช่วยเสริมทัพการให้บริการในพื้นที่กรุงเทพมหานครที่ยังมีช่องว่างอยู่อีกพอสมควร ดังนั้นจะทำให้การบริการประกันของบริษัทครอบคลุมได้ทุกพื้นที่ทั่วประเทศไทย ทั้งนี้บริษัทจะคัดคุณสมบัติและช่วยเทรนนิ่งการขายเพื่อให้มีความเป็นมืออาชีพต่อไป โดยรับรองว่าการทำอาชีพนี้ภายใต้บริษัทวิริยะประกันภัย จะเป็นอาชีพที่มีความมั่นคง ได้ค่าตอบแทนที่คุ้มค่า
นอกจากนี้ บริษัทก็ขอประกาศว่าพร้อมเดินหน้ารับประกันภัยรถยนต์ไฟฟ้า (EV) อย่างเต็มที่ นอกจากนี้ยังได้เปิดตัว 3 ผลิตภัณฑ์ใหม่ เพื่อทำตลาดในปีนี้อีกด้วย ซึ่งประกอบด้วย 1. ผลิตภัณฑ์ตะกาฟุล 2. ประกันชั้น 1 PayLite จ่ายเท่าที่ขับ และ 3. ประกันอุบัติเหตุ ขับขี่สุขใจ V-Motor Add On
ทั้งนี้ ภายในงานยังได้มีการแนะนำผลิตภัณฑ์และบริการ ที่ช่วยส่งเสริมสนับสนุนงานตัวแทนให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้นโดยผู้บริหารรุ่นใหม่ของวิริยะประกันภัย อาทิ V-Roadside Service บริการช่วยเหลือฉุกเฉิน 24 ชั่วโมง ผลิตภัณฑ์วิริยะตะกาฟุล ประกันภัยที่ถูกต้องตามหลักศาสนาอิสลาม ประกันชั้น 1 PayLite จ่ายเท่าที่ขับ และประกันอุบัติเหตุ ขับขี่สุขใจ V-Motor Add Onประกันเสริม สำหรับผู้มีประกันรถยนต์ภาคสมัครใจ เพื่อยกระดับประสิทธิภาพการบริการ ให้สามารถตอบสนองต่อความต้องการของลูกค้าได้อย่างครอบคลุมทุกมิติ
นายวิชัยยุทธ เหลืองสุวรรณ ผู้จัดการฝ่ายการตลาดองค์กร บริษัท วิริยะประกันภัย จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า สำหรับผลิตภัณฑ์ตะกาฟุล อยู่ภายใต้การตลาดองค์กร โดยปีนี้ตั้งเป้าเบี้ยประกันในปีแรกประมาณ 20 ล้านบาท ผ่านมาครึ่งปีแรกมีเบี้ยเข้ามาแล้วกว่า 10 ล้านบาท โดยผลิตภัณฑ์ในโครงการนี้จะครอบคลุมสินค้าทั้งประกันภัยรถยนต์ ประกันอัคคีภัย ประกันตะกาฟุลธุรกิจ และประกันโจรกรรมจักรยานยนต์และอุบัติเหตุ
“ผลิตภัณฑ์ตะกาฟุลเป็นสินค้าของชาวมุสลิม โดยเป้าหมายของโครงการริเริ่มโดย นายอมร ทองธิว กรรมการผู้จัดการ ที่ตั้งใจอยากประกันเข้าถึงคนไทยทุกเชื้อชาติ ทุกศาสนา มีโอกาสได้ใช้การประกันภัยที่ถูกต้อง ซึ่งปัจจุบัน วิริยะประกันภัย มีผลิตภัณฑ์วิริยะตะกาฟูล ที่ถูกต้องตามหลักศาสนาอิสลาม โดยมีความแตกต่างจากการประกันภัยทั่วไป คือ การประกันภัยทั่วไป มีอยู่ประมาณ 4 เรื่องหลัก ๆ คือ 1. ประกันภัยทั่วไปมีความไม่แน่นอนอยู่ว่าจะเกิดหรือไม่เกิดเหตุ 2. ประกันภัยทั่วไปอาจจะมีลักษณะก่ำกึ่งคล้ายเสี่ยงโชค 3. เรื่องอัตราดอกเบี้ย เป็นสิ่งที่ผิดตามศาสนาอิสลาม และ 4.การลงทุน ประกันภัยทั่วไป สามารถลงทุนได้ในหลากหลายธุรกิจ แต่ตามหลักศาสนาอิสลาม จะลงทุนในธุรกิจสุราหรือธุรกิจเกี่ยวกับเนื้อสุกร ไม่สามารถทำได้ จึงออกผลิตภัณฑ์วิริยะตะกาฟูล มาเพื่อตอบโจทย์ โดยมีคณะกรรมการชะรีอะฮ์ ช่วยคิดเพื่อให้ดำเนินการได้ถูกต้องที่สุด”
ฉะนั้นวิริยะตะกาฟูล จึงยึดหลักการประกันภัยอยู่ 3 ข้อ คือ ส่วนที่หนึ่ง คือ หลักการช่วยเหลือซึ่งกันและกัน การการบริจาคเข้ากองทุน จึงตัดหลักการเสี่ยงโชคออกไป ส่วนที่สอง คือการบริหารเรื่องการเงิน ป้องกันการลงทุนที่ผิดศาสนาอิสลาม ฉะนั้นตัวกองการเงินจะถูกแยกออกจากการประกันภัยปกติ เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดดอกเบี้ย
นางสาวกัญญา สนุทรวร ผู้จัดการฝ่ายการตลาดดิจิทัลและช่องทางพิเศษ บริษัท วิริยะประกันภัย จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า สำหรับประกันชั้น 1 PayLite จ่ายเท่าที่ขับ เป็นสินค้าที่เพิ่งออกมาใหม่ อาจจะยังไม่ได้วางเป้าหมายเบี้ยประกัน
โดยความพิเศษของประกันตัวนี้ เชื่อว่าจะตอบโจทย์ลูกค้าจากภาวะเศรษฐกิจ ที่ทำให้คนคำนึงถึงค่าใช้จ่ายมากขึ้น หรือไลฟ์สไตล์การทำงานที่เปลี่ยนจากการเข้าออฟฟิศทุกวันมาเป็นทำงานที่บ้าน (WFH) หรือไฮบริด หรือคนที่อาศัยคอนโดมิเนียมตามเส้นรถไฟฟ้าที่เบื่อรถติด จะตอบโจทย์อย่างมาก เพราะเบี้ยประกันเริ่มต้นที่ 4,850 บาท โดยจ่ายเพิ่มตามระยะที่ใช้จริง เพียงกิโลเมตรละ 70 สตางค์ แต่ได้ความคุ้มครองของประกันชั้น 1 ในมาตรฐานของวิริยะประกันภัย
นางสาวจิราวรรณ อิ่มสิน ผู้จัดการฝ่ายการตลาด NON-MOTOR ด้านส่วนบุคคล บริษัท วิริยะประกันภัย จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า โดยดูแล ทั้งในกลุ่มประกันสุขภาพ และ อุบัติเหตุ โดยได้มีการนำเสนอ แบบประกันใหม่ล่าสุด คือ แบบประกันอุบัติเหตุ ขับขี่สุขใจ V-Motor Add On รถหยุดพักซ่อมแต่ไม่พักการเดินทาง เป็นประกันที่คุ้มครองกรณีรถเกิดต้องนำเข้าซ่อม ไม่ว่าจะเป็นซ่อมอู่หรือซ่อมห้าง ซ่อมตั้งแต่ 12 ชั่วโมงขึ้นไป รับเงินชดเชยค่าเดินทางสูงสุด 3,000 บาทต่อครั้ง (ปีหนึ่งเบิกได้สูงสุดถึง 5 ครั้ง) ไม่ว่าจะเป็นฝ่ายถูกหรือฝ่ายผิด กรณีรถชนรถ ทั้งนี้ค่าเบี้ยประกันเริ่มต้นแค่ 500 บาท/ปี จะเบิกได้ สูงสุด 2,000 บาท ต่อครั้ง โดยวางเป้าหมายเบี้ยในปีแรก 100 ล้านบาท ผ่านมาแล้วครึ่งแรกมีเบี้ยรับเข้ามาแล้วกว่า 50 ล้านบาท
นายดลเดช กล่าวในตอนท้ายว่า วิริยะประกันภัย เปิดกว้างในการรับตัวแทนนายหน้า แต่ต้องเป็นตัวแทนที่มีมาตรฐานมืออาชีพ เพราะหากเป็นตัวแทนที่ไม่มีความรักในอาชีพ อาจจะสร้างความเสียหายให้กับบริษัทได้ดังนั้น เราจึงจำเป็นที่ต้องคัดเลือกคนที่รักในอาชีพตัวแทน เพราะแม้ตลาดจะเปลี่ยนไปอย่างไร เขาจะมีความมุ่งมั่นในการทำงาน จะดูแลลูกค้าด้วยใจ มีความซี่อสัตย์ อดทน เพราะคนเหล่านี้ต้องการความมั่นคงและยั่งยืนในอาชีพตัวแทน นี่คือกระบวนการและการสร้างตัวแทนนายหน้าของวิริยะประกันภัย
