ดร.สุทธิพล ทวีชัยการ เลขาธิการคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (เลขาธิการ คปภ.) เปิดเผยว่า ตามที่คณะรัฐมนตรีมีมติเมื่อวันที่ 21 เมษายน 2563 เห็นชอบในหลักการการดำเนินโครงการประกันภัยข้าวนาปี ปีการผลิต 2563 ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ โดยเป็นการดำเนินโครงการต่อเนื่องจากปี 2562 เพื่อให้เกษตรกรผู้เพาะปลูกข้าวนาปีได้มีเครื่องมือในการบริหารจัดการความเสี่ยงจากภัยธรรมชาติ และภัยจากศัตรูพืช หรือโรคระบาด โดยในปีนี้ได้กำหนดเป้าหมายสูงสุด 45.7 ล้านไร่ และภาครัฐให้การสนับสนุนค่าเบี้ยประกันภัย จำนวนเงินทั้งสิ้น 2,910.39 ล้านบาท
ในรายละเอียดของมติ ครม.มอบหมายให้ สำนักงาน คปภ.ปรับปรุงกรมธรรม์ประกันภัยข้าวนาปีให้เป็นไปตามรูปแบบ และหลักเกณฑ์การรับประกันภัยของโครงการฯ ปีการผลิต 2563 รวมทั้งอนุมัติกรมธรรม์และอัตราเบี้ยประกันภัย กำหยดให้แล้วเสร็จและสามารถเริ่มรับประกันภัยในปีการผลิต 2563 ได้ทันที ภายหลัง ครม.ให้ความเห็นชอบ และให้ดำเนินการสร้างความรู้ความเข้าใจ ตลอดจนประชาสัมพันธ์โครงการฯ ในภาพรวมและเชิงรุกร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง
สำนักงาน คปภ.จึงเตรียมความพร้อมและเดินหน้าขับเคลื่อนโครงการฯ ตามนโยบายของรัฐบาล โดยปีนี้ได้มีการปรับปรุงกรมธรรม์ข้าวนาปีให้มีความพิเศษและเหมาะสมเพื่อช่วยเหลือเกษตรกรชาวนาในการรับมือกับสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 และ ตนในฐานะนายทะเบียนได้ลงนามให้ความเห็นชอบแบบและข้อความกรมธรรม์ประกันภัยและอัตราเบี้ยประกันภัยข้าวนาปี ปีการผลิต 2563 ไปเมื่อวันที่ 31 มีนาคม ที่ผ่านมา เป็นที่เรียบร้อยแล้ว จำนวน 4 แบบกรมธรรม์ ดังนี้
1. กรมธรรม์ประกันภัยข้าวนาปี ปีการผลิต 2563 เพื่อกลุ่มลูกค้าสินเชื่อเพื่อการเพาะปลูกข้าวของธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.)
2. กรมธรรม์ประกันภัยข้าวนาปี ปีการผลิต 2563 เพื่อกลุ่มเกษตรกรพื้นที่เสี่ยงภัยต่ำ
3. กรมธรรม์ประกันภัยข้าวนาปี ปีการผลิต 2563 สำหรับกลุ่มเกษตรกรรายย่อย (ไมโครอินชัวรันส์) และ
4. กรมธรรม์ประกันภัยข้าวนาปี ปีการผลิต 2563 สำหรับกลุ่มเกษตรกรรายย่อย (ไมโครอินชัวรันส์) ส่วนเพิ่ม
โดยมีบริษัทประกันภัยที่เข้าร่วมโครงการประกันภัยข้าวนาปี ปีการผลิต 2563 จำนวน 17 บริษัท ได้แก่ บมจ.กรุงเทพประกันภัย บมจ.กรุงไทยพานิชประกันภัย บมจ.เจพีประกันภัย บมจ.ซมโปะ ประกันภัย (ประเทศไทย) บมจ.ทิพยประกันภัย บมจ.ไทยไพบูลย์ประกันภัย บมจ.ไทยศรีประกันภัย บมจ.นวกิจประกันภัย บมจ.ประกันภัยไทยวิวัฒน์ บมจ.ฟอลคอนประกันภัย บจก.มิตซุย สุมิโตโม อินชัวรันส์ (สาขาประเทศไทย) บมจ.เมืองไทยประกันภัย บมจ.วิริยะประกันภัย บมจ.สินมั่นคงประกันภัย บมจ.อาคเนย์ประกันภัย บมจ.แอกซ่าประกันภัย และ บมจ.แอลเอ็มจีประกันภัย โดยเริ่มรับประกันภัยในปีการผลิต 2563 ได้ทันทีภายหลัง ครม.ให้ความเห็นชอบโครงการฯ และวันสิ้นสุดการขายจะแตกต่างกันไปตามภูมิศาสตร์ คือ วันที่ 30 เม.ย. 63 วันที่ 31 พ.ค. 63 และวันที่ 30 มิ.ย.63 ยกเว้น 14 จังหวัดภาคใต้วันที่ 31 ธ.ค.63
สำหรับเกษตรกรที่เป็นลูกค้าสินเชื่อ ธ.ก.ส. จะจ่ายเบี้ยประกันภัย (ไม่รวมอากรแสตมป์และภาษีมูลค่าเพิ่ม) ในส่วนความคุ้มครองพื้นฐาน (ส่วนที่ 1) อยู่ที่ 97 บาทต่อไร่ ทุกพื้นที่ทั่วประเทศ โดยรัฐบาลอุดหนุน 58 บาทต่อไร่ และ ธ.ก.ส. อุดหนุนอีก 39 บาทต่อไร่ ส่วนเกษตรกรที่เป็นลูกค้าสินเชื่อ ธ.ก.ส. ที่จ่ายค่าเบี้ยประกันภัยเพิ่มเอง และเกษตรกรทั่วไป จะจ่ายตามพื้นที่ความเสี่ยงภัย (ไม่รวมอากรแสตมป์และภาษีมูลค่าเพิ่ม) ถ้าเป็นพื้นที่สีแดงมีความเสี่ยงภัยสูง จ่ายเบี้ยประกันภัย 230 บาทต่อไร่ รัฐบาลอุดหนุน 58 บาทต่อไร่ เกษตรกรจ่ายเอง 172 บาทต่อไร่ พื้นที่สีเหลืองมีความเสี่ยงภัยปานกลาง จ่ายเบี้ยประกันภัย 210 บาทต่อไร่ รัฐบาลอุดหนุน 58 บาทต่อไร่ ส่วนที่เหลือเกษตรกรจ่ายเอง 152 บาทต่อไร่ และพื้นที่สีเขียว จ่ายเบี้ยประกันภัย 58 บาทต่อไร่ รัฐบาลอุดหนุน 58 บาทต่อไร่ สำหรับอัตราเบี้ยประกันภัยความคุ้มครองส่วนเพิ่ม (ส่วนที่ 2) เกษตรกรจะจ่ายเบี้ยประกันภัยเองทั้งหมดตามพื้นที่ความเสี่ยงภัย โดยถ้าเป็นพื้นที่สีแดงมีความเสี่ยงภัยสูง จ่ายเบี้ยประกันภัย 101 บาทต่อไร่ พื้นที่สีเหลืองมีความเสี่ยงภัยปานกลาง จ่ายเบี้ยประกันภัย 48 บาทต่อไร่ และพื้นที่สีเขียว จ่ายเบี้ยประกันภัย 24 บาทต่อไร่ (ไม่รวมอากรแสตมป์และภาษีมูลค่าเพิ่ม)
ทั้งนี้ กรมธรรม์ประกันภัยข้าวนาปี ปีการผลิต 2563 จะให้ความคุ้มครองความเสียหายจากภัยน้ำท่วมหรือฝนตกหนัก ภัยแล้ง ฝนแล้ง หรือฝนทิ้งช่วง ลมพายุหรือพายุไต้ฝุ่น ภัยอากาศหนาวหรือน้ำค้างแข็ง ลูกเห็บ ไฟไหม้ และภัยจากช้างป่า สำหรับความคุ้มครองพื้นฐาน(ส่วนที่ 1) อยู่ที่ 1,260 บาทต่อไร่ ความคุ้มครองส่วนเพิ่ม(ส่วนที่ 2) อยู่ที่ 240 บาทต่อไร่ และภัยศัตรูพืชหรือโรคระบาด ตามความคุ้มครองพื้นฐาน(ส่วนที่ 1) อยู่ที่ 630 บาทต่อไร่ ความคุ้มครองส่วนเพิ่ม(ส่วนที่ 2) อยู่ที่ 120 บาทต่อไร่ โดยภัยดังกล่าวผู้ว่าราชการจังหวัดได้มีการประกาศเป็นเขตการให้ความช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติกรณีฉุกเฉิน ดังนั้น เกษตรกรที่ทำประกันภัย(ส่วนที่ 1 + ส่วนที่ 2) ในคราวเดียวกัน จะได้รับความคุ้มครองอยู่ที่ 1,500 บาทต่อไร่ และจะได้รับความคุ้มครองจากภัยศัตรูพืชหรือโรคระบาด 750 บาทต่อไร่
เลขาธิการ คปภ. กล่าวด้วยว่า เพื่อสร้างความรู้ความเข้าใจแก่เกษตรกรชาวนาและเจ้าหน้าที่ของหน่วยงานภาครัฐ ภาคเอกชนที่เกี่ยวข้องกับการดำเนินงานตามโครงการฯ คปภ. จึงได้จัดทำโครงการ “อบรมความรู้ประกันภัย Training for the Trainers” เกี่ยวกับการประกันภัยข้าวนาปีต่อเนื่องเป็นปีที่ 5 ในปีนี้จะมีการลงพื้นที่ให้ความรู้จำนวน 5 ครั้ง ใน 5 จังหวัด ได้แก่ จังหวัดเพชรบุรี ราชบุรี อุตรดิตถ์ กาฬสินธุ์ และ พัทลุง อย่างไรก็ดี สถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ยังคงมีความรุนแรงและต่อเนื่อง คปภ. ได้ปรับวิธีการให้เหมาะสมและสอดคล้องกับสถานการณ์ ด้วยการจัดทำวีดิทัศน์การบรรยายความรู้จากวิทยากร 5 หน่วยงาน ประกอบด้วย สำนักงาน คปภ. สมาคมประกันวินาศภัยไทย กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย กรมส่งเสริมการเกษตร และธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร เพื่อใช้ถ่ายทอดองค์ความรู้ให้แก่เกษตรกร เจ้าหน้าที่หน่วยงานภาครัฐ และภาคเอกชน
นอกจากนี้ ยังได้ดำเนินการผลิตสื่อความรู้ในรูปแบบต่างๆ เพื่อเพิ่มช่องทาง.นการประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ความรู้ให้เกษตรกรชาวนาสามารถเข้าถึงได้ง่ายและสะดวกยิ่งขึ้น เช่น การจัดทำสื่อวีดิทัศน์ในรูปแบบกราฟฟิกเคลื่อนไหว(Motion graphic) การใช้บุคคลที่มีชื่อเสียงและมีอิทธิพลต่อการตัดสินใจของเกษตรกร(influencer) การจัดทำสื่อความรู้ในรูปแบบคลิปเสียง การจัดทำข้อมูลความรู้เพื่อเผยแพร่ผ่าน Application “กูรูประกันข้าว” โดยสามารถดาวน์โหลดผ่าน QR code รวมถึงการผลิตสื่อความรู้ในรูปแบบสื่อสิ่งพิมพ์ โดยจะได้มีการประสานหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อเผยแพร่สื่อความรู้ต่างๆ ผ่านช่องทางที่เข้าถึงเกษตรกรชาวนาให้มากที่สุด
“สำนักงาน คปภ. มีความมุ่งมั่นที่จะเป็นส่วนหนึ่งในการยกระดับคุณภาพชีวิตของเกษตรกรชาวนาไทยให้มีความมั่นคง เนื่องจากอาชีพทำนามีความเสี่ยงสูง เพราะต้องพึ่งพิงปัจจัยทางธรรมชาติ จึงจำเป็นต้องมีระบบประกันภัยเป็นเครื่องมือในการบริหารความเสี่ยงและสร้างภูมิคุ้มกัน ดังนั้น จึงอยากเชิญชวนเกษตรกรชาวนาทุกคนให้ความสำคัญกับการทำประกันภัยข้าวนาปี ซึ่งปีนี้มีกรมธรรม์ให้เลือกถึง 4 แบบ ทั้งแบบกรมธรรม์ที่รัฐบาลให้การอุดหนุนเบี้ยประกันภัยและแบบกรมธรรม์ที่เกษตรกรชาวนาสามารถซื้อเพื่อเพิ่มความคุ้มครองด้วยตัวเอง ทั้งนี้หากมีข้อสงสัยสามารถสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ สายด่วน คปภ. 1186” เลขาธิการ คปภ. กล่าวในตอนท้าย