ดร.สุทธิพล ทวีชัยการ เลขาธิการคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (เลขาธิการ คปภ.) เปิดเผยว่า จากสถานการณ์แพร่ระบาดของไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) ส่งผลกระทบต่อระบบเศรษฐกิจและสังคมของประเทศไทยและทุกประเทศทั่วโลก เนื่องจากมีผู้เจ็บป่วยจากการติดเชื้อและเสียชีวิตเป็นจำนวนมาก ส่งผลกระทบต่อทรัพยากรด้านสาธารณสุขของประเทศ การหยุดชะงักของอุตสาหกรรมท่องเที่ยว การบริการ และภาคการผลิต ซึ่งการหยุดชะงักของห่วงโซ่อุปทานโลกทำให้เกิด Supply Shock เป็นวงกว้างนำไปสู่ผลกระทบด้านการค้าและการลงทุนทั่วโลก นอกจากนี้ ค่าใช้จ่ายในการป้องกันการติดเชื้อ รวมถึงการกักตัวอยู่ภายในบ้าน ทำให้ไม่สามารถประกอบอาชีพและขาดรายได้ ส่งผลกระทบต่อครอบครัว ผู้ที่มีความไม่มั่นคงทางเศรษฐกิจ หรือกลุ่มเปราะบางเป็นหลัก โดยเฉพาะกลุ่มประชาชนฐานราก แรงงานรายวัน เกิดการตกงาน สูญเสียรายได้ ผลกระทบที่เกิดขึ้นทั้งในเชิงเศรษฐกิจและสังคม แต่ในทุกวิกฤตย่อมมีโอกาส และวิกฤตการแพร่ระบาดของ COVID-19 จะทำให้พฤติกรรมของประชากรทั้งโลกเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง และกลายเป็น
“New Normal” หรือ “ความปกติในรูปแบบใหม่” ของชีวิตประจำวัน และการดำเนินธุรกรรมต่างๆ รวมทั้งธุรกรรมประกันภัย ในที่สุด
วิกฤติ โควิด-19 disrupt ระบบประกันภัยของไทยภายหลัง COVID-19 อย่างไร
ในช่วงที่ผ่านมาเราได้เห็นความหวาดกลัวการแพร่ระบาดของ COVID-19 การตื่นตัวในเรื่องการดูแลสุขภาพ ตลอดจนความต้องการที่จะมีเครื่องมือในการบริหารความเสี่ยงจากการแพร่ระบาดของโรคติดต่อนี้ เราจึงเห็นปรากฏการณ์ของ “ประกันภัยโควิด” ซึ่งพบว่ามีประชาชนจำนวนมากให้ความสนใจซื้อกรมธรรม์ผ่านช่องทาง digital สูงถึงกว่า 9 ล้านกรมธรรม์ ภายในระยะเวลาเพียง 4 เดือน ซึ่งกลุ่มที่มีบทบาทสำคัญต่อความสำเร็จของผลิตภัณฑ์ประกันภัยนี้ ได้แก่
– สำนักงาน คปภ. ผู้จุดประกาย ส่งเสริมให้มีการพัฒนาผลิตภัณฑ์ประกันภัย COVID-19
ขึ้นโดยเฉพาะ รวมทั้งพิจารณาความเหมาะสมของความคุ้มครอง ความชัดเจนของถ้อยคำในกรมธรรม์ประกันภัย รวมไปถึงการให้ข้อมูลที่ถูกต้องครบถ้วนในขั้นตอนการขาย และการให้บริการหลังการขาย เช่น การเสนอขาย
ผ่านช่องทาง online และ digital การนำส่งกรมธรรม์ในรูปแบบอิเล็กทรอนิกส์ การจ่ายค่าสินไหมทดแทน และการคุ้มครองสิทธิประโยชน์ของประชาชน
– สมาคมประกันภัยและบริษัทประกันภัย ผู้ออกแบบความคุ้มครองที่ตอบโจทย์ความต้องการของประชาชน อีกภาคส่วนหนึ่งที่เป็นส่วนสำคัญในการนำเสนอความคุ้มครองให้ตรงตามความต้องการของกลุ่มเป้าหมาย คือ ตัวแทนและนายหน้าประกันภัย ซึ่งมีการนำเทคโนโลยีดิจิทัลมาสนับสนุนกระบวนการขาย ทำให้ประชาชนส่วนใหญ่สามารถเข้าถึงการประกันภัยได้ภายในระยะเวลาอันรวดเร็ว
ภายใต้สถานการณ์การแพร่ระบาดและการเปลี่ยนผ่านสู่ยุค New Normal นี้ บริษัทประกันภัยจำเป็นต้องให้ความสำคัญกับพนักงาน ลูกค้า และการดำเนินธุรกิจ เพื่อให้ลูกค้ายังเชื่อมั่นในคำสัญญา ตลอดถึงความเหมาะสมของเบี้ยประกันภัยและความคุ้มครอง นอกจากนี้บริษัทจำเป็นต้องสำรวจความต้องการของลูกค้าที่ประสบวิกฤติในช่วงนี้ ตลอดจนต้องรักษาสมดุลในด้านการจัดสรรเงินลงทุน (investment portfolio) ประเภทความเสี่ยงภัยที่รับประกันภัย (underwriting portfolio) ช่องทางการจำหน่าย (distribution channel) สภาพคล่อง (liquidity) และเสถียรภาพ (sustainability) และการวางแผนกลยุทธ์ให้สามารถดำเนินธุรกิจได้ภายใต้ข้อจำกัดต่าง ๆ ควบคู่ไปกับการพัฒนาและเปลี่ยนแปลงตัวเองเพื่อให้พร้อมที่จะเติบโตได้อย่างยั่งยืนในอนาคต
“ดังนั้น ผมจึงมองว่าสถานการณ์ COVID-19 นี้ ถือเป็นโอกาสของธุรกิจประกันภัยที่จะเรียนรู้และนำเอาประสบการณ์ทั้งจากภายในธุรกิจประกันภัยเองและจากภาคธุรกิจอื่น ๆ มาปรับใช้ เพื่อให้ธุรกิจ
มีความคล่องตัวและสามารถเติบโตแบบก้าวกระโดดและเป็นหลักประกันที่มั่นคงให้กับสังคม”
COVID-19 ปลุกคนไทยเรียนรู้การทำประกันผ่านออนไลน์ อย่างไร
แม้ภาคธุรกิจประกันภัยไทยก็ได้รับผลกระทบจากเศรษฐกิจและสังคมที่เปลี่ยนไป แต่ก็ยังมีมิติด้านบวก
ที่ธุรกิจประกันภัยได้รับอานิสงส์จากการแพร่ระบาดของไวรัส COVID-19 คือ ประชาชนเกิดความตระหนัก
ถึงความสำคัญของการประกันภัยและนำระบบประกันภัยมาเป็นเครื่องมือในการบริหารความเสี่ยงในชีวิตมากขึ้น มีการวางแผนด้านสุขภาพและเตรียมพร้อมด้วยการเลือกซื้อหลักประกันด้านสุขภาพ โดยเฉพาะประกันภัย COVID-19 พบว่าในช่วงระยะเวลาเพียง 4 เดือน มีประชาชนให้ความสนใจซื้อกรมธรรม์ประกันภัย COVID-19 กว่า 9 ล้านกรมธรรม์ ซึ่งมีการเลือกซื้อประกันภัยผ่านระบบออนไลน์เพิ่มมากขึ้น ทำให้มีการเรียนรู้และมีประสบการณ์ที่ดี จากการซื้อประกันผ่านระบบออนไลน์ที่สะดวก รวดเร็ว และได้รับความคุ้มครองทันที ตอบสนองความต้องการ ในการซื้อผลิตภัณฑ์ที่ตอบโจทย์ความต้องการของตนเองอย่างแท้จริง และทำให้ประชาชนเกิดความเชื่อมั่นต่อการประกันภัยมากยิ่งขึ้น
ดังนั้น จึงกล่าวได้ว่าสถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัส COVID-19 เป็นตัวเร่งให้เกิด “New Normal” ของอุตสาหกรรมประกันภัยไทยและถือเป็นโอกาสสำคัญต่อการผลักดันให้ระบบประกันภัยมีบทบาทในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจและสังคมให้มีความมั่นคง เด่นชัด มากขึ้น
มองบทบาทของธุรกิจประกันภัยที่ควรจะเป็นในยุค New Normal อย่างไร
ผมมองว่าธุรกิจประกันภัยจำเป็นต้องบูรณาการร่วมกับสำนักงาน คปภ. ในการดำเนินการตามมาตรการ
ที่สำคัญ 5 ประการ ดังนี้
มาตรการแรก เร่งพัฒนาบุคลากรคนกลางประกันภัย ให้มีความรู้ ความสามารถในการวิเคราะห์พฤติกรรมของลูกค้าที่เปลี่ยนแปลงไป เพื่อวางแผนให้คำปรึกษา แนะนำแนวทางการแก้ไขปัญหาอย่างมีประสิทธิภาพ
เพื่อเป็นที่เชื่อมั่นไว้วางใจให้เป็นผู้แนะนำด้านการวางแผนทางการเงินและการบริหารความเสี่ยงอย่างเป็นระบบให้กับลูกค้าแบบครบวงจร ยึดมั่นให้บริการประชาชนบนพื้นฐานของจรรยาบรรณวิชาชีพที่ดี รับผิดชอบต่อตนเอง ลูกค้า และบริษัทด้วยความซื่อสัตย์อยู่เสมอจนได้รับการยอมรับ อาทิ การวางแผนทำประกันภัยเพื่อรองรับสังคม
สูงวัย โดยเริ่มซื้อประกันภัยตั้งแต่ช่วงวัยทำงาน ซึ่งยังมีความสามารถในการชำระเบี้ยประกันภัย เป็นต้น
มาตรการที่ 2 เร่งพัฒนาผลิตภัณฑ์ประกันภัยที่ตอบโจทย์ความต้องการของผู้บริโภค รวมทั้งพัฒนาผลิตภัณฑ์ประกันภัยเพื่อรองรับ Lifestyle ของประชาชนทุกช่วงวัยและความต้องการของธุรกิจเพื่อให้มีผลิตภัณฑ์หลากหลายในการเสนอขาย อาทิ พัฒนาผลิตภัณฑ์ประกันภัยประเภทต่าง ๆ ที่ตอบสนองความต้องการ (Tailor-made Insurance) ซึ่งผู้เอาประกันภัยสามารถออกแบบความคุ้มครองที่ต้องการ ในราคาที่สามารถจ่ายได้ นอกจากนี้ ต้องพัฒนาผลิตภัณฑ์ประกันสุขภาพให้มีความคุ้มครองหลากหลายในราคาที่เหมาะสม หรือการประกันสุขภาพที่คุ้มครองโรคระบาดตามฤดูกาล รวมทั้ง สร้างนวัตกรรมประกันภัยที่มีความคุ้มครองตอบโจทย์ของผู้บริโภคได้ โดยนำเทคโนโลยีมาเป็นส่วนร่วมในกระบวนการหรือกิจกรรมต่าง ๆ
มาตรการที่ 3 เร่งพัฒนาระบบฐานข้อมูล หรือ template กลาง เพื่อเอื้อประโยชน์ในการช่วยลดต้นทุนให้กับภาคธุรกิจ มีการพัฒนาช่องทาง รูปแบบหรือวิธีการใหม่ๆ ที่เข้าถึงประชาชนแต่ละกลุ่มในต้นทุนที่เหมาะสม โดยคำนึงถึงความโปร่งใสและการคุ้มครองสิทธิประโยชน์ประชาชน อาทิ จัดทำเครื่องมือที่ช่วยในการวางแผน วิเคราะห์ความต้องการ และเปรียบเทียบผลิตภัณฑ์ประกันภัย เช่น Application กลาง หรือ Website กลาง , พัฒนา Platform ช่องทางการเสนอขายผ่านออนไลน์ หรือช่องทางการเข้าถึงการประกันภัยรูปแบบใหม่ ๆ , ศึกษา วิเคราะห์ข้อมูลเพื่อใช้วางแผนด้านพฤติกรรมของกลุ่มลูกค้า
มาตรการที่ 4 ดำเนินการเชิงรุกในการสร้างความรู้ความเข้าใจและความตระหนักถึงประโยชน์ของการประกันภัย ส่งเสริมให้มีการนำการประกันภัยสอดแทรกเข้าไปในการวิถีชีวิตประจำวันของประชาชน เพื่อสร้างประสบการณ์การประกันภัยให้กับประชาชนในการบริหารความเสี่ยงอย่างทั่วถึง อาทิ การให้ทดลองใช้ผลิตภัณฑ์ประกันภัย รวมทั้งส่งเสริมให้ประชาชนทำประกันภัยเพื่อบริหารความเสี่ยงมากขึ้น เช่น การประกันสุขภาพ การประกันภัยเพื่อรองรับสังคมสูงวัย ตั้งแต่ช่วงวัยที่ความสามารถในการชำระเบี้ยประกันภัย เพื่อใช้เป็นหลักประกันให้ตนเองหลังเกษียณ เป็นต้น
มาตรการที่ 5 เร่งปรับรูปแบบการดำเนินธุรกิจ เพื่อให้สอดรับกับสภาพแวดล้อมใหม่ อาทิ เร่งรัดการนำเทคโนโลยีที่ทันสมัยมาใช้ในการดำเนินธุรกิจและปรับตัวให้เป็นดิจิทัลมากขึ้นเพื่อช่วยลดค่าใช้จ่ายและระยะเวลา
ในการดำเนินงาน ปรับกระบวนการดำเนินธุรกิจให้เป็นระบบอัตโนมัติมากยิ่งขึ้นตั้งแต่ต้นจนจบ เช่น ส่งมอบกรมธรรม์ให้กับผู้เอาประกันภัยในรูปแบบของ e-Policy นำเทคโนโลยี Blockchain ในกระบวนการเก็บข้อมูลการเรียกร้องค่าสินไหมทดแทน และใช้ปัญญาประดิษฐ์ในกระบวนการทำงาน เร่งพัฒนาในกระบวนการดำเนินงานต่างๆ ให้เป็นรูปแบบอิเล็กทรอนิกส์หรือดิจิทัลเพื่อมุ่งสู่การดำเนินงานแบบ Digital Insurance ฯลฯ
การกำกับดูแลของสำนักงาน คปภ. ในยุค New Normal ควรเป็นอย่างไร
New Normal มิได้ส่งผลกระทบต่อความจำเป็นในการปรับรูปแบบการดำเนินธุรกิจประกันภัยเท่านั้น
แต่ยังส่งผลถึงความจำเป็นของหน่วยงานกำกับดูแลอย่างสำนักงาน คปภ. ที่จำเป็นต้องปรับเปลี่ยนรูปแบบในการกำกับดูแลให้มีความยืดหยุ่นมากขึ้น ใช้กฎกติกาในการกำกับดูแลที่มีลักษณะเป็น principle based ปรับโครงสร้างองค์กร ลักษณะการทำงาน เร่งกระบวนการปรับเปลี่ยนเป็น Digital Insurance Regulator ให้เร็วขึ้น เร่งสร้างศักยภาพของระบบฐานข้อมูลด้านประกันภัยให้รองรับภารกิจต่าง ๆ รวมทั้งพัฒนาทักษะทางด้านเทคโนโลยี การวิเคราะห์ข้อมูล ตลอดจนนำแนวทางการทำงานในลักษณะ Regulatory Sandbox มาใช้ให้มากขึ้น โดยที่ผ่านมาสำนักงาน คปภ. เล็งเห็นถึงความสำคัญของการพัฒนาโครงสร้างเพื่อส่งเสริมการดำเนินธุรกิจของคนกลางประกันภัย จึงนำเทคโนโลยี Mobile Application มาใช้เพื่ออำนวยความสะดวกในการตรวจสอบข้อมูลของคนกลางประกันภัย โดยได้จัดทำ Application ชื่อว่า “คนกลาง For Sure” เพื่อให้ตัวแทนประกันภัยและนายหน้าประกันภัย สามารถเข้าถึงข้อมูลเกี่ยวกับรายการทางทะเบียนของตนเอง ได้แก่ ข้อมูลเกี่ยวกับใบอนุญาตชั่วโมงการอบรม รวมถึงการแจ้งเตือนการต่อใบอนุญาตและข่าวสารต่าง ๆ ได้ ซึ่งจะเป็นการบริการข้อมูลให้คนกลางประกันภัยสามารถบริหารจัดการข้อมูลของตนเองได้สะดวกมากยิ่งขึ้น
สำนักงาน คปภ. ยังได้ออกมาตรการเพื่อป้องกันการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโควิด-19 โดยอิงมาตรการของรัฐบาลเป็นสำคัญซึ่งมาตรการช่วยเหลือบรรเทาความเดือดร้อนของตัวแทนและนายหน้าประกันภัย อาทิ ให้หน่วยงานจัดอบรมที่ประสงค์จะจัดอบรมแบบสื่ออิเล็กทรอนิกส์ (e-learning) ขอความเห็นชอบดำเนินการจัดอบรมได้ในหลักสูตรขอรับใบอนุญาต ขอต่ออายุใบอนุญาตเป็นตัวแทนประกันภัยและนายหน้าประกันภัย และหลักสูตรเพื่อขอขึ้นทะเบียนเป็นผู้เสนอขายกรมธรรม์ประกันชีวิตควบการลงทุน (Unit-linked) และกรมธรรม์ประกันชีวิตแบบยูนิเวอร์แซลไลฟ์ ซึ่งข้อมูล (ณ วันที่ 30 มิถุนายน 2563) มีหน่วยงานที่ได้รับความเห็นชอบจัดอบรมหลักสูตรขอรับและขอต่ออายุใบอนุญาตเป็นตัวแทนและนายหน้าประกันภัย แบบสื่อทางอิเล็กทรอนิกส์ (e-learning) จำนวน 28 หน่วยงาน และจัดอบรมหลักสูตรเพื่อขอ
ขึ้นทะเบียนเป็นผู้เสนอขายกรมธรรม์ประกันชีวิตควบการลงทุน (unit-linked) และกรมธรรม์ประกันชีวิตแบบ
ยูนิเวอร์แซลไลฟ์ แบบสื่อทางอิเล็กทรอนิกส์ (e-learning) จำนวน 5 หน่วยงาน
นอกจากนี้ สำนักงาน คปภ. ดำเนินการออกมาตรการอำนวยความสะดวกในการเสนอขายกรมธรรม์ประกันภัย โดยอนุญาตให้ใช้เทคโนโลยีที่นิยมกันอย่างแพร่หลายในปัจจุบันมาปรับใช้ในกระบวนการเสนอขายแบบพบผู้เสนอขาย หรือที่เรียกว่า Digital Face to Face เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและความคล่องตัวของช่องทางการขาย การให้บริการประชาชน ช่วยลดปัญหา อุปสรรค และภาระของบริษัทประกันภัยและคนกลางประกันภัย ส่งผลให้ประชาชนได้รับการบริการที่ดีมีคุณภาพจากบริษัทประกันภัยและคนกลางประกันภัย
การขับเคลื่อนอุตสาหกรรมประกันภัยไทย ภายใต้สถานการณ์ Post COVID-19 และบริบท
“New Normal” ยึดโยงกับแนวทางของแผนพัฒนาการประกันภัยฉบับที่ 4 อย่างไร
สำนักงาน คปภ. อยู่ระหว่างการดำเนินการจัดทำแผนพัฒนาการประกันภัยฉบับที่ 4 (พ.ศ. 2564 – 2568) เพื่อการขับเคลื่อนอุตสาหกรรมประกันภัยไทยทั้งระบบภายใต้ “สถานการณ์ Post COVID-19” และนิยาม “New Normal” ซึ่งจำเป็นต้องคำนึงถึงบริบทที่แตกต่างจากแผนพัฒนาการประกันภัยฉบับที่ผ่านมาอย่างสิ้นเชิง ไม่ว่าจะเป็นเรื่อง การเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยีอย่างรวดเร็ว การเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจและสังคม Lifestyle ผู้บริโภคเปลี่ยนแปลงไป ภาวะอัตราดอกเบี้ยต่ำ การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (climate change) ความเพียงพอและการปรับตัวของบุคลากรให้ทันต่อการเปลี่ยนแปลง หรือแม้กระทั่งการเผชิญกับสถานการณ์ COVID – 19 ที่ก่อให้เกิดวิกฤตด้านสาธารณสุข
ส่งผลกระทบต่อระบบเศรษฐกิจไปทั่วโลก โดยจำเป็นต้องศึกษา และทำความเข้าใจกรอบปัจจัยที่เกี่ยวข้องหรือมีผลกระทบกับอุตสาหกรรมประกันภัย พร้อมวิเคราะห์ความเชื่อมโยงของแต่ละปัจจัยเหล่านั้น เพื่อนำมาจัดทำแผนพัฒนาการประกันภัย ฉบับที่ 4 ให้เหมาะสมเกิดประสิทธิภาพ และสามารถนำไปสู่การปฏิบัติได้จริง ซึ่งการศึกษาครอบคลุมโอกาสและความท้าทาย ตลอดจนปัจจัยต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง รวมถึงได้ดำเนินการศึกษาและวิเคราะห์ศักยภาพของอุตสาหกรรมประกันภัยไทย (Insurance Industry) สัมภาษณ์หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง มีการทำ Focus Group ตลอดจนแบบสอบถามภาคประชาชน และภาคธุรกิจซึ่งมีผลกระทบกับอุตสาหกรรมประกันภัย พร้อมอยู่ระหว่างการวิเคราะห์ ความเชื่อมโยงของปัจจัยเหล่านั้นเพื่อให้แผนพัฒนาการประกันภัยฉบับที่ 4 สามารถสะท้อนมุมมองได้หลากหลายมิติ สอดคล้องกับการดำเนินการของหลายภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง อาทิ แผนยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ผลการดำเนินงานของแผนพัฒนาการประกันภัย ฉบับที่ 1 – 3 แนวโน้มอุตสาหกรรมประกันภัยระดับโลก และแนวโน้มของโลก (Global Trends) ที่มีผลกระทบต่อการพัฒนาอุตสาหกรรมประกันภัยไทย
ในแผนพัฒนาการประกันภัยฉบับที่ 4 ที่กำลังจัดทำจะมีการกำหนดมาตรการต่าง ๆ ที่ต้องดำเนินการต่อเนื่องจากแผนพัฒนาการประกันภัยฉบับที่ 3 เช่น การเพิ่มประสิทธิภาพการบริหารจัดการต้นทุน การส่งเสริมและการเข้าถึงการประกันภัย การผลักดันการแก้ไขกฎหมายด้านการประกันภัย การพัฒนาฐานข้อมูลกลาง ด้านการประกันภัย (Insurance Bureau System) เพื่อการกำกับดูแลธุรกิจประกันภัยเพื่อให้ประชาชนสามารถเข้าถึงข้อมูลประกันภัยที่ถูกต้องอย่างเท่าเทียมกัน และการผลักดันนวัตกรรมธุรกิจประกันภัยผ่านโครงการ
การทดสอบนวัตกรรมที่นำเทคโนโลยีมาสนับสนุนการให้บริการสำหรับธุรกิจประกันภัย (Insurance Regulatory Sandbox) เพื่อยกระดับการดำเนินกิจการของอุตสาหกรรมประกันภัย และเพิ่มศักยภาพของบริษัทประกันภัย
ในการแข่งขันในระดับสากล
แผนพัฒนาการประกันภัย ฉบับที่ 4 จะมีความแตกต่างจากแผนพัฒนาการประกันภัยฉบับที่ผ่านมา
โดยจะมีการกำหนดมาตรการต่าง ๆ ที่มีความยืดหยุ่นสามารถปรับเปลี่ยนและเพิ่มเติมได้เพื่อรองรับต่อเหตุการณ์และสภาพแวดล้อมที่เปลี่ยนแปลงแบบพลวัต เน้นเรื่องการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีและข้อมูล ซึ่งสอดคล้องกับสถานการณ์ในปัจจุบันและในอนาคตได้เป็นอย่างดี โดยกำหนดวิสัยทัศน์ คือ “ระบบประกันภัยไทยมีความมั่นคง ยั่งยืน และแข่งขันได้ในเศรษฐกิจและสังคมดิจิทัลด้วยนวัตกรรมและเทคโนโลยี ภาครัฐและประชาชนทุกคนเข้าถึงการประกันภัยและใช้ประโยชน์ในการรองรับความเสี่ยง”
โดยสำนักงาน คปภ. ได้กำหนดผลลัพธ์ที่คาดหวัง (Intended Outcome) ของแผนฉบับนี้ให้ทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องร่วมกันดำเนินมาตรการเพื่อให้บรรลุความสำเร็จตามเป้าหมายที่ตั้งไว้ 3 ส่วน คือ
ส่วนที่ 1 ตั้งเป้าหมายให้ “ประชาชนมีความเชื่อมั่นต่อธุรกิจประกันภัยมีการวางแผนชีวิตที่ดี ได้รับความคุ้มครองด้วยผลิตภัณฑ์ประกันภัยที่สอดคล้องกับความต้องการในอัตราเบี้ยประกันภัยที่เหมาะสม โดยสามารถเข้าถึงการประกันภัยผ่านช่องทางที่หลากหลาย และได้รับการบริการที่สะดวก”
ส่วนที่ 2 ตั้งเป้าหมายให้ “ธุรกิจประกันภัยเติบโตอย่างยั่งยืนและมีธรรมาภิบาลที่ดี มีการบริหารจัดการต้นทุนที่มีประสิทธิภาพโดยประยุกต์ใช้เทคโนโลยี คนกลางประกันภัยมีคุณภาพและมีบทบาทสำคัญในการให้ความรู้ วิเคราะห์ความเสี่ยง และให้คำแนะนำการวางแผนทางการเงินแก่ประชาชน”
ส่วนที่ 3 ตั้งเป้าหมายให้ “ระบบประกันภัยมีบทบาทสำคัญในการเสริมสร้างให้เศรษฐกิจและสังคมมีความมั่นคง ทนทาน พร้อมรับมือกับความเสี่ยงและการเปลี่ยนแปลง มีผลิตภัณฑ์ประกันภัยที่สนับสนุนและให้ความคุ้มครองแก่ภาครัฐ ภาคเอกชน รวมถึงประชาชน”
ทั้งนี้ ภายใต้ทิศทางของแผนพัฒนาการประกันภัยฉบับที่ 4 และภายใต้สถานการณ์ “Post COVID-19”
และนิยามของ “New Normal” นั้น จะเห็นได้ว่าการนำเทคโนโลยีมาใช้จึงเป็นสิ่งจำเป็น ในขณะเดียวกัน
คนกลางประกันภัยก็จะมีบทบาทสำคัญมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเรื่องการให้ความรู้ด้านการประกันภัย
แก่ประชาชน การวิเคราะห์ความเสี่ยง และช่วยให้คำปรึกษาในเรื่องการวางแผนทางการเงินในอนาคตคาดหวังให้ผลิตภัณฑ์ประกันภัยจะเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตประจำวันของประชาชนในทุกช่วงวัย รวมทั้งต้องการให้คนกลางประกันภัยมีการใช้เทคโนโลยีและเครื่องมือต่าง ๆ ในการให้บริการและสร้างประสบการณ์
ที่ดีแก่ประชาชนเป็นสำคัญ