ทิสโก้ เผยเศรษฐกิจสหรัฐฯเข้าโหมด “ถดถอย” โอกาสซื้อหุ้นกลุ่มเทคฯ-เทคฯจีน และหุ้นเติบโตสูง   

0
65

ทิสโก้เผยเศรษฐกิจสหรัฐฯ เข้าสู่ภาวะถดถอยทางเทคนิค หลังตัวเลข GDP ติดลบสองไตรมาส ชี้เป็นจังหวะเหมาะเข้าซื้อหุ้นที่มีโอกาสเติบโตสูง ราคาลงแรง  3 กลุ่ม คือ 1. หุ้นเทคโนโลยี อย่างคลาวนด์ ไซเบอร์ ซีเคียวริตี้ และเซมิคอนดักเตอร์ 2. หุ้นกลุ่มเติบโตสูงในช่วง 5 – 10 ปีข้างหน้า ที่จะเป็นผู้นำอุตสาหกรรมต่างๆ และ 3. หุ้นเทคโนโลยีจีน  

นายณัฐกฤติ เหล่าทวีทรัพย์ ผู้อำนวยการอาวุโสที่ปรึกษาการลงทุนทิสโก้เวลธ์ ธนาคารทิสโก้ จำกัด (มหาชน)  เปิดเผยว่า  เศรษฐกิจสหรัฐฯ เข้าสู่ภาวะถดถอยทางเทคนิค หลังตัวเลขผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (GDP) ติดลบ 2 ไตรมาสติดต่อกัน โดยไตรมาส 1/2565 -1.6% และไตรมาส 2/2565 – 0.9% ท่ามกลางธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) เร่งขึ้นอัตราดอกเบี้ยระดับสูง 0.75% ต่อเนื่องเป็นครั้งที่สอง เพื่อลดความร้อนแรงของเงินเฟ้อที่พุ่งสูงสุดในรอบ 40 ปี  ซึ่งศูนย์วิเคราะห์เศรษฐกิจและกลยุทธ์ทิสโก้ (TISCO ESU) คาดว่า สิ้นปี 2565 อัตราดอกเบี้ยนโยบายของสหรัฐฯ จะปรับขึ้นไปอยู่ที่ 3.50% จากปัจจุบันอยู่ที่ 2.25 – 2.50% 

สำหรับตลาดหุ้น หากวัดจากอัตราราคาต่อกำไรล่วงหน้า (Forward P/E) ของดัชนี S&P 500 ที่ปรับลดลงมาแล้ว -28% จากต้นปี ธนาคารทิสโก้มองว่า มูลค่าหุ้น (Valuation) ปัจจุบันรับข่าวภาวะเศรษฐกิจถดถอย และนโยบายการเงินที่ตึงตัวไปมากแล้ว เหลือเพียงการปรับลดคาดการณ์กำไรที่จะกดดันให้ตลาดหุ้นเป็นขาลง จึงมองเป็นโอกาสดีในรอบหลายปี ที่จะหาจังหวะซื้อหุ้นที่กำไรยังคงเติบโตและมูลค่าเหมาะสม เช่น กลุ่มเทคโนโลยี อย่าง คลาวนด์ คอมพิวติง (Cloud Computing), ไซเบอร์ ซีเคียวริตี้ (Cyber Security) เซมิคอนดักเตอร์ (Semiconductor) และหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีจีน รวมไปถึงหุ้นกลุ่มหุ้นเติบโตทั่วโลก

ส่วนสาเหตุที่กลับมาแนะนำหุ้นเทคโนโลยีอีกครั้ง โดยเฉพาะหุ้นที่เกี่ยวข้องกับ Cloud Computing , Cyber Security และ Semiconductor เพราะ

1. แรงกดดันในด้านต้นทุนทางการเงินของกลุ่มเทคโนโลยีลดลง เนื่องจากอัตราดอกเบี้ยพันธบัตรรัฐบาลระยะยาวอายุ 10 ปีของสหรัฐฯ ได้ผ่านจุดสูงสุดไปแล้ว อีกทั้งอัตราเงินเฟ้อน่าจะเริ่มชะลอตัวลงในทิศทางเดียวกับราคาสินค้าโภคภัณฑ์ที่เริ่มปรับตัวลดลงตามตัวเลขเศรษฐกิจ

2. ราคาหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีที่อยู่ในดัชนี NASDAQ ปรับตัวลดลงถึง 32% มากที่สุดในรอบ 10 ปี และราคาหุ้นเทียบกับคาดการณ์กำไรใน 12 เดือนข้างหน้า (Fwd P/E) ใกล้เคียงกับค่าเฉลี่ย 10 ปีแล้วที่ 23 เท่า จึงเป็นจังหวะที่ดีในการลงทุนหุ้นเทคโนโลยี เพียงแต่ต้องคัดเลือกกลุ่มหุ้นที่อยู่รอดได้ในระยะยาวโดยอาศัยศักยภาพการเติบโตในอนาคตของทั้งรายได้และกำไรเป็นสำคัญ 

3. ธุรกิจ Cloud Computing , Cyber Security และ Semiconductor เป็นเทคโนโลยีที่สำคัญต่อชีวิตประจำวัน และยังมีอัตราการเติบโตของยอดขายที่น่าสนใจ โดยคาดการณ์ยอดขายของกลุ่ม Cloud Computing ปี 2565 จะเติบโต 15% เมื่อเทียบกับปีก่อน (YoY) ยอดขาย Cyber Security เติบโต 28% YoY และ Semiconductor จะเติบโต 13.7% YoY (ที่มา : Global X, International Data Corporation สืบค้น ณ วันที่ 31 กรกฎาคม 2565) ขณะที่ยอดขายของบริษัทที่อยู่ในดัชนี Nasdaq โดยเฉลี่ยขยายตัวเพียง 7% YoY 

สำหรับหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีของจีน ได้ปรับตัวรับข่าวร้ายหลังรัฐบาลจีนเข้ามากำกับดูแลการทำธุรกิจเพื่อให้การแข่งขันทางธุรกิจเป็นไปอย่างยุติธรรม จนราคาหุ้นในช่วง 1 ปีปรับลงมามากกว่า 43% และมูลค่า Fwd PE Premium ของดัชนี MSCI China Information Technology ลดลงเหลือ 1.18 เท่าเมื่อเทียบกับดัชนี CSI 300 ซึ่งต่ำกว่าค่าเฉลี่ยในอดีตที่เคยอยู่ระดับ 2.13 เท่า ขณะที่การเติบโตในระยะยาวยังมีศักยภาพการเติบโตที่น่าสนใจกับแผนการเติบโตของจีนที่อยู่ในช่วงการเปลี่ยนระบบเศรษฐกิจที่เน้นการผลิตไปยังระบบเศรษฐกิจใหม่ที่เน้นนวัตกรรมและภาคบริการ 

นายณัฐกฤติ กล่าวเพิ่มเติมว่า นอกจากหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีแล้ว ยังแนะนำให้ทยอยเข้าซื้อหุ้นเติบโตทั่วโลกที่มีโอกาสขึ้นมาเป็นผู้นำในอุตสาหกรรมต่างๆ ในช่วง 5 – 10 ปีข้างหน้า (Long Term Global Growth)  และกลุ่มที่สร้างผลกระทบเชิงบวกต่อสังคม (Positive Impact) ได้แก่ ด้านสังคมและการศึกษา ด้านความรับผิดชอบต่อสิ่งแวดล้อม ด้านการดูแลสุขภาพ ที่ราคาหุ้นได้ปรับตัวลดลงเฉลี่ยราว 30 – 40% ในช่วง 1 ปีที่ผ่านมา ขณะที่ผลการดำเนินงานของบริษัทเหล่านี้ยังสามารถเติบโตได้ต่อเนื่องและยอดขายยังคงเติบโตได้เฉลี่ยประมาณ 10-20% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันกับปีที่ผ่านมา