บลจ.ทิสโก้เดินหน้าเพิ่มโอกาสสร้างผลตอบแทนให้ลูกค้า เปิดกลยุทธ์ลงทุนปี 2568 ด้วย 2 ธีมลงทุนเด่น คือ ธีมที่ได้ประโยชน์จากนโยบายทรัมป์ 2.0 และธีม Laggard Play และมองหาโอกาสสร้างกำไรด้วยการจับจังหวะลงทุนผ่านการเสนอขายกองทุนทริกเกอร์
นายสาห์รัช ชัฏสุวรรณ กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน ทิสโก้ จำกัด เปิดเผยถึงธีมกองทุนรวมในปี 2568 ว่า บลจ.ทิสโก้แนะนำ 2 ธีมกองทุนรวมที่โดดเด่น ได้แก่ ธีมที่ได้ประโยชน์จากนโยบาย 2.0 ของนายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ได้แก่ กองทุนที่มีนโยบายลงทุนในธุรกิจ AI ของสหรัฐฯ กองทุนหุ้นขนาดใหญ่ที่มีคุณภาพ และกองทุนหุ้นกลุ่มการเงินสหรัฐฯ และธีมกองทุนที่ราคาหุ้นปรับตัวขึ้นช้ากว่าตลาด (Laggard Play) ในปีที่ผ่านมา ประกอบด้วย กองทุนหุ้นขนาดกลาง – เล็กของสหรัฐฯ กองทุนหุ้นเอเชีย และกองทุนหุ้นเวียดนาม
โดยกลยุทธ์หลักยังคงมุ่งเน้นการเติบโต การขยายฐานลูกค้า และ AUM ใน 3 ธุรกิจ ทั้งกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ กองทุนส่วนบุคคล และกองทุนรวม เน้นการสร้างผลตอบแทนที่ดีสม่ำเสมอ พร้อมหาโอกาสออกผลิตภัณฑ์กองทุนใหม่ๆ ที่ช่วยเพิ่มโอกาสสร้างผลตอบแทนให้แก่นักลงทุนอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะกองทุนทริกเกอร์ ที่ทยอยออกในช่วงที่ตลาดหุ้นทั้งในและต่างประเทศมีความผันผวน หรือปรับตัวลดลง ซึ่งเป็นกลุ่มกองทุนที่ช่วยจับจังหวะสร้างผลตอบแทนระยะสั้นให้แก่นักลงทุนได้เป็นอย่างดี
โดยในปี 2567 ที่ผ่านมา บลจ.ทิสโก้เปิดเสนอขายกองทุนทริกเกอร์ทั้งหมด 6 กองทุน บริหารและถึงเป้าหมายในระยะเวลาได้ 5 กองทุน ถึงเป้าหมายเร็วที่สุดคือภายใน 8 วัน
และข้อมูล ณ วันที่ 27 มกราคม 2568 บลจ.ทิสโก้ออกกองทุนทริกเกอร์ฟันด์มาแล้วทั้งหมด 152 กองทุน (ถึงเป้าหมายในระยะเวลา 88 กองทุน และถึงเป้าหมายนอกระยะเวลาลงทุน 32 กองทุน) มีกองทุนที่อยู่ระหว่างลงทุน 1 กองทุน (ยังไม่ถึงเป้าหมายและเกินกว่ากำหนดเวลาลงทุน 11 กองทุน) และกองทุนไม่ถึงเป้าหมายและเลิกกองทุนแล้ว 20 กองทุน
“การบริหารจัดการกองทุนทริกเกอร์ในปีที่ผ่านมา สะท้อนว่าบลจ.ทิสโก้ เป็นตัวจริงเรื่องกองทุนทริกเกอร์ และในปี 2568 ยังคงจับจังหวะเพื่อนำเสนอกองทุนทริกเกอร์ฟันด์อย่างต่อเนื่อง โดยมุ่งบริหารทุกกองทุนให้มีผลตอบแทนเหนือดัชนีชี้วัด โดยเฉพาะกองทุนหุ้นไทยที่หลายกองมี Performance อยู่ในระดับต้นๆ ของประเภทกองทุนหุ้นไทย ทั้งในช่วงระยะสั้น ระยะกลาง และระยะยาว (ข้อมูลจาก Morningstar Thailand ณ 25 ม.ค. 68) และมั่นใจว่าผู้จัดการกองทุนจะยังคงบริหารกองทุนให้มีผลตอบแทนที่ดีเช่นนี้อย่างสม่ำเสมอ” นายสาห์รัชกล่าว
ทั้งนี้บลจ.ทิสโก้ได้รับความไว้วางใจจากนักลงทุนและลูกค้าอย่างต่อเนื่อง ส่วนหนึ่งเป็นเพราะลูกค้าเริ่มเข้าใจการลงทุนและรับความเสี่ยงในการลงทุนหุ้นต่างประเทศมากขึ้น ส่งผลให้มูลค่าสินทรัพย์รวมภายใต้การจัดการ (AUM) เติบโต 40% จาก 290,239 ล้านบาท ในปี 2562 เพิ่มขึ้นเป็น 406,802 ล้านบาท ในปี 2567 หรือเฉลี่ยเติบโต 7% ต่อปี ตลอด 5 ปี ที่ผ่านมา
ความมุ่งมั่นในการบริหารกองทุนเพิ่มโอกาสสร้างผลตอบแทนให้ลูกค้า ส่งผลให้ บลจ.ทิสโก้ได้รับรางวัล บริษัทจัดการกองทุนยอดเยี่ยม ประเภทกองทุนหุ้นในประเทศ (Best Fund House Winner : Best Domestic Equity) จาก Morningstar Awards 2022 และ 2023 และรางวัลบริษัทจัดการกองทุนยอดเยี่ยม (Best Asset Manager) จาก Morningstar Awards 2024
นายสุพงศ์วร เมี้ยนโภคา ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน ทิสโก้ จำกัด เปิดเผยว่า ภาพรวมการลงทุนในปี 2568 ยังมีความท้าทายอย่างมาก จากปัจจุบันราคาหุ้นทั่วโลกมีมูลค่า (Valuation) ค่อนข้างแพง โดยเฉพาะประเทศพัฒนาแล้ว ประกอบกับความไม่แน่นอนของนโยบายทรัมป์ที่เดินหน้ามาตรการสงครามการค้าส่งผลกระทบต่อการเติบโตเศรษฐกิจทั่วโลก ซึ่งบลจ.ทิสโก้คาดว่าทรัมป์จะดำเนินนโยบายทรัมป์ 2.0 ที่หาเสียงไว้ในครั้งนี้อย่างจริงจังมากกว่าการดำรงตำแหน่งครั้งก่อนอย่างแน่นอน
ในมุมมองของ บลจ.ทิสโก้ คาดว่าหุ้นกลุ่มสถาบันการเงินของสหรัฐฯ หุ้นกลุ่มการบริโภคที่เกี่ยวข้องกับประเทศสหรัฐฯ หุ้นกลุ่มเฮลธ์แคร์ (Healthcare) จะเป็นกลุ่มอุตสาหกรรมที่สร้างผลตอบแทนได้อย่างโดดเด่น โดยหุ้นกลุ่มสถาบันการเงินจะได้ประโยชน์จากการกระตุ้นเศรษฐกิจของทรัมป์ ขณะที่หุ้นกลุ่มการบริโภคของสหรัฐฯ จะได้รับประโยชน์จากการบริโภคในประเทศที่แข็งแกร่ง และหุ้นกลุ่ม Healthcare ที่ราคาหุ้นไม่ได้ปรับเพิ่มขึ้นมากนักในช่วงปีที่ผ่านมา
ขณะที่ตลาดหุ้นจีนน่าจับตา เพราะราคาหุ้นอยู่ในระดับต่ำ และมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐฯเริ่มเห็นผล แต่ความเสี่ยงต่างๆปีที่ผ่านมายังคงอยู่ และยังมีความเสี่ยงจากนโยบายของทรัมป์เข้ามาเพิ่มอีก
สำหรับตลาดหุ้นไทยปี 2568 คาดว่าดัชนีจะปิดปีที่ 1,530 จุด หรือเพิ่มขึ้นประมาณ 10% เมื่อเทียบกับปี 2567 แม้ปีนี้เศรษฐกิจไทยจะมีแนวโน้มเติบโตขึ้นเมื่อเทียบกับปีก่อน แต่เป็นการเติบโตในกลุ่มอุตสาหกรรมที่กระจุกตัวอยู่เฉพาะบางอุตสาหกรรม เช่น อุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้องกับการส่งออก พลังงาน อาหาร และซอฟต์แวร์ ซึ่งไม่ได้เป็นการเติบโตในวงกว้างจึงยังไม่ส่งผลดีต่อเศรษฐกิจโดยรวม ขณะที่อุตสาหกรรมที่มีแรงงานจำนวนมากนั้นยังไม่เติบโตดีเท่าที่ควร