ศูนย์วิจัยกสิกรไทยคาด GDP ไทยปี 2567 โต 2.6% จับตามาตรการกีดกันทางการค้า และปัญหาเชิงโครงสร้าง  

0
36

ศูนย์วิจัยกสิกรไทยคาดการณ์เศรษฐกิจไทยปี 67 ขยายตัวที่ 2.6%  มองช่วงครึ่งปีหลังแนวโน้มเร่งตัวขึ้นจากการเบิกจ่ายงบฯ และการส่งออกที่ขยายตัวจากฐานปี 2566 ที่ต่ำ แนะจับตาความเสี่ยงจากมาตรการกีดกันทางการค้า  ปัญหาเชิงโครงสร้างและความสามารถในการแข่งขันที่ลดลง มีผลให้ส่งออกไทยฟื้นตัวช้ากว่าที่คาด

นายบุรินทร์ อดุลวัฒนะ กรรมการผู้จัดการ และ Chief Economist บริษัท ศูนย์วิจัยกสิกรไทย จำกัด กล่าวว่า แม้ภาพเศรษฐกิจสหรัฐฯ จะเป็นแรงส่งให้กิจกรรมทางเศรษฐกิจแข็งแรงกว่าคาด จนตลาดปรับการคาดการณ์ว่าเฟดจะยังไม่ลดอัตราดอกเบี้ยในเร็วๆ นี้ หรือ Higher for Longer แต่ประเด็นที่มีน้ำหนักเพิ่มขึ้นมากในระยะหลัง คือ นโยบายภาษีของสหรัฐฯและยุโรปที่กีดกันอุตสาหกรรม Cleantech ของจีน ได้แก่ รถยนต์ไฟฟ้า แบตเตอรี่ และแผงโซลาร์ ซึ่งจะส่งผลให้เกิดการย้ายฐานการผลิตในภูมิภาคยุโรป อาเซียน และอเมริกาใต้

และหากโดนัลด์ ทรัมป์ กลับมาเป็นประธานาธิบดีสหรัฐฯ กลยุทธ์ของจีนในการกระจายความเสี่ยงทางการค้า อย่างเช่น China+1 ที่ขยายฐานการผลิตออกจากจีนไปยังประเทศอื่น  ๆ เพื่อเลี่ยงกำแพงภาษีทางการค้า ก็อาจได้รับผลกระทบ ซึ่งไทยต้องจับตาประเด็นการเปลี่ยนแปลงนี้ เพื่อให้ภาคอุตสาหกรรมปรับทิศทางได้ทัน 

นางสาวณัฐพร ตรีรัตน์ศิริกุล รองกรรมการผู้จัดการ บริษัท ศูนย์วิจัยกสิกรไทย จำกัด  กล่าวถึงทิศทางเศรษฐกิจไทยในช่วงครึ่งปีหลัง 2567 ว่า มีแนวโน้มเร่งตัวขึ้นตามการเร่งเบิกจ่ายงบประมาณ และการส่งออกที่ขยายตัวเป็นบวกมากขึ้นจากปัจจัยฐานต่ำในปี 2566  อย่างไรก็ตามความเสี่ยงจากมาตรการกีดกันทางการค้าที่มีแนวโน้มรุนแรงขึ้น การระบายสินค้าจากกำลังการผลิตส่วนเกินจากจีนมายังตลาดโลกรวมถึงไทย ในขณะที่ปัญหาเชิงโครงสร้างและความสามารถในการแข่งขันที่ลดลงมีผลให้ส่งออกไทยฟื้นตัวได้ช้ากว่าที่คาดการณ์  ศูนย์วิจัยกสิกรไทยจึงคาดการณ์การขยายตัวของเศรษฐกิจไทยปี 2567 อยู่ที่ 2.6%  

นางสาวเกวลิน หวังพิชญสุข รองกรรมการผู้จัดการ บริษัท ศูนย์วิจัยกสิกรไทย จำกัด กล่าวถึงแนวโน้มภาคอุตสาหกรรมไทยว่า มี 3 ปัจจัยหลัก ที่จะกระทบภาคอุตสาหกรรมไทย ได้แก่

1. ความไม่แน่นอนของการเบิกจ่ายภาครัฐ ที่จะกระทบอุตสาหกรรมก่อสร้าง

2. สินค้านำเข้าที่ไหลเข้าไทยเพิ่มขึ้น จากผลของสงครามการค้า ซึ่งจะกระทบอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ รถยนต์ และเหล็ก

3. ต้นทุนทางธุรกิจเพิ่มขึ้น ทั้งราคาน้ำมันดีเซลที่ภาครัฐทยอยลดการอุดหนุน และค่าแรงที่มีทิศทางสูงขึ้น จะกระทบต่อเอสเอ็มอีโดยเฉพาะกลุ่มที่ใช้แรงงานเข้มข้น   

ดังนั้นเพื่อแก้ปัญหาเฉพาะหน้า ภาครัฐควรเร่งเบิกจ่ายงบประมาณ กวดขันสินค้านำเข้าและสนับสนุนการใช้วัตถุดิบในประเทศ (Local Content) รวมถึงเติมสภาพคล่องให้กับ SMEs และเน้นวางแผนการจัดการน้ำ ขณะเดียวกัน ถึงเวลาที่ทุกภาคส่วนจะต้องปรับโครงสร้างเศรษฐกิจขนานใหญ่ ด้วยการเพิ่มประสิทธิภาพในทุกมิติ ทำให้รายได้เติบโตเร็วกว่าการเพิ่มขึ้นของต้นทุน 

คาดส่งออก โต 1.5% จับตาปัญหาภูมิรัฐศาสตร์

แม้การส่งออกไทยในเดือนพ.ค. 67 จะขยายตัว 7.2% ดีกว่าที่ตลาดคาดการณ์ที่ 2.0%  แต่เป็นการขยายตัวที่มีปัจจัยสนับสนุนหลักมาจากการส่งออกผลไม้นำโดยทุเรียนสดที่กลับมาขยายตัวในรอบ 4 เดือน จากผลผลิตออกมาช้ากว่าปกติเนื่องจากได้รับผลกระทบจากสภาวะร้อนและแล้งจัด ส่งผลให้การส่งออกไปจีนขยายตัว 31.2% ในเดือนพ.ค.67

นอกจากนี้ การส่งออกสินค้าอิเล็กทรอนิกส์อย่างคอมพิวเตอร์ และโทรศัพท์ ยังคงขยายตัวได้ดี โดยเฉพาะในตลาดสหรัฐฯ ขณะที่การส่งออกโซลาร์เซลล์ ปรับลดลง 3 เดือนติดต่อกัน หลังจากมีการเร่งส่งออกในช่วงก่อนหน้านี้ ซึ่งการส่งออกโซลาร์เซลล์ตลอดในช่วงที่เหลือของปีนี้มีแนวโน้มที่จะยังคงติดลบเนื่องจากประเด็นเรื่องการเลี่ยง AD/CVD ของไทย

ทั้งนี้ประเด็นภูมิรัฐศาสตร์ยังสร้างความไม่แน่นอนต่อการส่งออกไทย  โดยอาจเห็นการเร่งส่งออกสินค้าจีนไปยังตลาดสหรัฐฯ มากขึ้น ซึ่งอาจไม่ได้เกิดขึ้นแค่ในกลุ่มสินค้าที่จะถูกปรับขึ้นภาษีนำเข้าในเดือนส.ค.67 เท่านั้น แต่อาจครอบคลุมไปถึงสินค้าอื่นๆ เนื่องจากตลาดมีความกังวลว่า หากทรัมป์ได้รับตำแหน่งขึ้นเป็นประธานาธิบดีของสหรัฐฯ คนต่อไป อาจมีการยกระดับมาตรการกีดกันทางการค้าต่อสินค้าจีนเพิ่มขึ้นในระยะข้างหน้า ซึ่งต้นทุนค่าขนส่งทางเรือในปัจจุบัน (20 มิ.ย.67) ปรับสูงขึ้นราว 90% นับตั้งแต่ต้นเดือนพ.ค.67 โดยถูกกดดันจากเส้นทางที่สินค้าออกจากตลาดจีนไปชาติตะวันตกเป็นสำคัญ

ในขณะที่การเร่งส่งออกของจีนส่งผลต่อการส่งออกไทยไม่มากนัก ถึงแม้ไทยจะอยู่ในห่วงโซ่การผลิตสินค้าของจีน โดยสัดส่วนการส่งออกสินค้าขั้นกลางของไทยไปยังจีนลดลงอย่างต่อเนื่อง โดยมีปัจจัยมาจากโครงสร้างการส่งออกสินค้าในกลุ่มดังกล่าวที่เปลี่ยนไป สะท้อนผ่านการส่งออกสินค้ากลุ่มขั้นกลางที่สำคัญไปยังจีน อาทิ ยาง พลาสติก และเคมีภัณฑ์ ที่เติบโตลดลง หลังจีนมีนโยบายพึ่งพาการผลิตสินค้ากลุ่มปิโตรเคมีภายในประเทศ

โดยสรุป การส่งออกไทยในช่วงครึ่งหลังของปี 2567 มีแนวโน้มเร่งตัวขึ้นแต่อาจอยู่ในกรอบที่จำกัด แม้การส่งออกใน 5 เดือนแรกของปีขยายตัวที่ 2.6% แต่ศูนย์วิจัยกสิกรไทยยังคงประมาณการภาพรวมส่งออกไทยในปี 2567 ขยายตัวที่ 1.5% เนื่องจากฐานที่สูงในบางเดือนในช่วงที่เหลือของปีนี้ และการส่งออกไทยมีแนวโน้มฟื้นตัวช้า และไม่ได้รับอานิสงส์จากการฟื้นตัวของการค้าโลกเท่าที่ควร โดยเฉพาะในกลุ่มสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ ที่เห็นการส่งออกขยายตัวอย่างมากในกลุ่มประเทศส่งออกอิเล็กทรอนิกส์หลัก อาทิ เกาหลีใต้ ที่ได้รับแรงหนุนจากการส่งออกสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ที่เกี่ยวเนื่องกับ AI