“สุธีชัย สันติวราคม”  Covid-19 ทำให้อำนาจการซื้อ หายไป

0
728

นายสุธีชัย สันติวราคม ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการ บริษัท คุ้มภัยโตเกียวมารีนประกันภัย(ประเทศไทย)จำกัด(มหาชน)ให้ความเห็นว่า ประเทศไทยเป็นประเทศที่ระบบเศรษฐกิจที่ต้องอาศัยธุรกิจท่องเที่ยว  เป็นแหล่งการทำมาหากิน สร้างเงินสร้างรายได้ พอมาเจอสถานการณ์แบบนี้ก็จะกระทบถึง อำนาจซื้อในระบบก็อ่อนแอลง  ทุกคนกระทบหมด ในมุมมองเราหลังจากหลังจากเปิดให้มีการดำเนินชีวิต เศรษฐกิจก็จะค่อยๆ ฟื้นตัว แต่ว่าแม้กระในระดับโลกยังไม่ทราบว่าการฟื้นตัวครั้งนี้จะฟื้นตัวแบบไหน จะเป็น  วีเชฟ  ดับเบิ้ลยูเชฟ  แต่คิดว่าขณะนี้กำลังทยอยฟื้นตัว ที่คิดว่าเป็นอุปสรรคคือ ทุกคนกังวลว่าจะเกิดขึ้นรอบที่สอง หากเป็นเช่นนั้น แล้วประเทศไทยจะเป็นอย่างไร ธุรกิจหลายๆ ธุรกิจ

แม้ครั้งนี้สถานการณ์จะดีขึ้น เราก็ต้องไม่ประมาท การ์ดต้องไม่ตก รัฐบาลมีความพร้อม  และเปิดให้ทุกคนกลับมาใช้ชีวิตได้มากขึ้น และจนกว่าจะมีการผลิตวัคซีนป้องกันออกมาได้สำเร็จจึงจะกลับมาใช้ชีวิตเป็นปกติได้ แต่ช่วงเปลี่ยนผ่านสิ่งที่เราทำหลายๆ อย่างเช่น มีการทำงานที่บ้าน พนักงาน บางส่วนยังคงมีการแบ่งการทำงานที่บ้านเพื่อลดความแออัด และมีการเตือนพนักงานตลอดเวลาว่า อย่ากราดตก ไม่ใช่ว่ามือไม่ล้าง  หน้ากากไม่ใส่  เรายังคงมีการเตือนกันตลอดเวลา ว่า การล้างมือและการใส่หน้ากากโดยเฉพาะเวลาที่อยู่ในกลุ่มคนมากๆ ก็ต้องใส่เหมือนเดิม  เวลาไปเยี่ยมลูกค้าก็ต้องใส่  ให้มีการรักษาระยะห่าง  เพราะฉะนั้นเราพยายามดูแล และใส่ใจคนทำงานมาก เพราะไม่เช่นนั้นธุรกิจก็จะไม่ยั่งยืน

จริงๆ แผนการควบรวมไม่ได้รับผลกระทบจากโควิดไม่มากนัก จากเดิมที่คิดว่าจะเริ่มเข้าสู่กระบวนการ เช่น การย้ายสำนักงานมาอยู่รวมกัน ก็อาจจะต้องขยายเวลาออกไปประมาณ  2-3 เดือนจากเดิมที่วางไว้ ส่วนแผนทุกอย่างยังเหมือนเดิม ผู้รับเหมาก็ทำงานกันไปไม่มีปัญหาอะไร  หากพูดถึงกรอบหรือมาสเตอร์แพลนยังอยู่ในกรอบที่กำหนดไว้เหมือนเดิมไม่ได้เปลี่ยนอะไร

สำหรับผลการดำเนินงานในช่วง5 เดือนที่ผ่านมามันหายไปบางส่วน เพราะการท่องเที่ยวหาย นักท่องเที่ยวไม่มา เศรษฐกิจตก กำลังซื้อคนก็หายไปเป็นธรรมดา ทำให้เบี้ยประกันภัยรับเราก็หายไปด้วยประมาณหลัก10 %  จะบอกว่าไม่โดนเป็นไปไม่ได้เพียงแต่ว่าเราจะหารายได้จากช่องทางอื่นชดเชย เช่นการประกันภัยประเภทอื่น อีกอย่างหนึ่งเราจะกระทบมากกว่าบริษัทอื่นในระนาบเดียวกันเพราะ เนื่องจากเราเป็นบริษัทรายใหญ่ของญี่ปุ่น เราจึงมีลูกค้ารายใหญ่จากญี่ปุ่นค่อนข้างมาก ซึ่งเมษายน 2563  ที่ผ่านมา โรงงาน OEM  มีการปิดโรงงานกัน  ดังนั้นเราก็โดนมากกว่าบริษัทประกันภัยรายอื่นๆ

ส่วนความคาดหวังว่าสถานการณ์จะกลับมาปกติ ได้เมื่อไรนั้นตอบยาก เพราะมีปัจจัยหลายอย่างมาก ซึ่งรวมถึงความกังวลว่าไทยอาจจะเผชิญกับการแพร่ระบาดในช่วงที่ 2 หรือไม่เหมือนกับประเทศอื่นหรือไม่  อย่างเช่นประเทศเพื่อนบ้านอย่างสิงคโปร์ ที่พอเปิดประเทศก็เจอกับการแพร่ระบาดระลอกที่ 2  เกาหลี ญี่ปุ่น จีน ก็เจอระลอก 2 กันหมด เราเลยตอบไม่ได้ว่าสถานการณ์จะกลับมาเป็นปกติได้เมื่อไร  แต่ว่าเป็นความไม่แน่นอน เราต้องเข้าใจ สิ่งสำคัญคือ เราต้องเดินแบบระมัดระวังว่าจะเดินอย่างไรเพื่อไม่ให้สะดุด

จริงๆ โควิด-19 เหมือนกับโรคระบาดที่เคยเกิดขึ้นในประวัติศาสตร์ของมนุษยชาติ ที่เรียกว่า Pandemic  ที่ในความเป็นจริงแล้ว ในศัพท์ประกันภัย คำว่า  Pandemic ฝรั่งจะกลัวมาก  สมัยที่ทำกับกับ IAG  ทุกปีจะต้องเช็คเรื่องความเสี่ยงอย่างไร หากต้องไปรับประกันภัยที่เกี่ยวกับ Pandemic แต่ทั้งเรารู้อยู่แล้วว่าจะต้องรับมือกับ Pandemic อย่างไร คือสถานการณ์แบบนี้ มีความรุนแรงมากกว่าการเกิดน้ำท่วมใหญ่ แต่ประเทศไทยยังโชคดี ที่คนติดเชื้อยังน้อย และแพทย์ และรัฐบาลสามารถรับมือกับตรงนี้ได้  หากสถานการณ์ในประเทศไทยประสบเหตุการณ์เหมือนกับในอเมริกา บริษัทประกันภัย จะเป็นอย่างไร ต้องบอกว่ามันจะหนักมาก  อย่างในยุโรป ก็โดนหนักมาก เพราะต้องจ่ายเคลมสินไหมที่เกี่ยวกับธุรกิจหยุดชะงัก

โรคโควิด19 สอนให้เรารู้จักกับการรับมือได้ดีหรือไม่ดี วัฒนธรรมและความเชื่อมีส่วนอย่างมาก  อย่างวัฒนธรรมตะวันตก เขามีความเชื่อว่า เขาจะไม่ใส่หน้ากาก ทำให้การแพร่ระบาดจึงสูง แต่ในเอเชีย แค่มีฝุ่น PM 2.5 ก็ใส่หน้ากากกันแล้ว เลยกลายเป็นสิ่งดีที่ทำให้รับมือกับเหตุการณ์นี้ได้ดีกว่าประเทศอื่นๆ  ดังนั้นการรับมือที่ดี คือ การรักษาระยะห่าง การใส่หน้ากากอนามัย  และสิ่งสำคัญคือ การไม่ประมาท

ธุรกิจประกันวินาศภัย นับแต่นี้ไป จะมีความลำบากขึ้น โดยเฉพาะตลาดประกันภัยรถยนต์  ดูจากตัวเลข คปภ. ขาดทุนกัน กว่า 6 %  อย่างบริษัทเล็กๆ อาจจะขาดทุนสูงถึง  30 % ซึ่ง เป็นไปไม่ได้ที่จะปล่อยให้การขาดทุนแบบนี้ตลอด  การควบรวมทำให้เราสามารถปรับแนวทางเพื่อให้สามารถแข่งขันได้ และไม่ขาดทุนเพราะจะมีนำข้อดีของทั้งสองฝั่งมาใช้ได้

ข้อดี คือ  การปรับสัดส่วนในเชิงธุรกิจ เนื่องจากโตเกียวมารีน มีงานด้าน Non Motor ที่เป็นธุรกิจลูกค้าญี่ปุ่นเป็นส่วนใหญ่  และเป็นงานที่มีความมั่นคงและมีเสถียรภาพ  ส่วนของบริษัทประกันคุ้มภัย มีตลาดที่เป็นลูกค้ารายย่อยซึ่งกระจัดกระจายและความเสี่ยงจะไม่กระจุกตัว ทำให้สามารถบริหารความเสี่ยงได้ดี ซึ่งแม้คุ้มภัยเองที่ผ่านมา จะไม่ได้เติบโตมาก แต่การรับประกันภัยยังพอมีกำไร ไม่ถึงกับขาดทุน สิ่งเหล่านี้ คิดว่าจะนำมาผสมกันเพื่อจะให้ตัวที่ทำแล้วขาดทุนมาปรับร่วมกันแล้วทำให้เกิดกำไรขึ้นมา ซึ่งแนวทางตรงนี้ค่อนข้างจะเห็นชัดเจน แต่เนื่องจากตลาดมีการเปลี่ยนตลอดเวลา และพร้อมที่จะรับกับสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงตลอดเวลาได้

ทิ้งคำตอบไว้

กรุณาใส่ความคิดเห็นของคุณ!
กรุณาใส่ชื่อของคุณที่นี่