อินฟอร์มา มาร์เก็ตส์ จัดงาน“Fi Asia–Vitafoods Asia 2025” หนุนไทยเป็นศูนย์กลางส่วนผสมอาหารและสารสกัด

0
7

อินฟอร์มา มาร์เก็ตส์  เตรียมจัด 2 งานนานาชาติ  Food ingredients Asia (Fi Asia 2025) และ Vitafoods Asia 2025 เวทีสำหรับอุตสาหกรรมส่วนผสมอาหารและเครื่องดื่ม และผลิตภัณฑ์เสริมอาหารและสารสกัด  ขับเคลื่อนนวัตกรรมและสร้างโอกาสทางธุรกิจให้ผู้ประกอบการไทยและภูมิภาคอาเซียน “ปลดล็อค” ศักยภาพผู้ประกอบการไทย ใช้นวัตกรรมสร้างจุดแข็งสินค้าไทยคว้าโอกาสในตลาดโลก

นางสาวรุ้งเพชร ชิตานุวัตร์ ผู้อำนวยการกลุ่มโครงการ – ภูมิภาคอาเซียน อินฟอร์มา มาร์เก็ตส์ เปิดเผยว่า การเติบโตของ Food Ingredient Industry ในไทย จะเกิดขึ้นได้จากการผสมผสานมาตรฐานและความปลอดภัยระดับสากล นวัตกรรมและงานวิจัยเชิงลึก การพัฒนาแบรนด์และการตลาดโลก ความยั่งยืนและการใช้ทรัพยากรให้คุ้มค่า ที่สำคัญหากร่วมมือกันครบทุกด้าน รัฐ – เอกชน – วิชาการ เชื่อว่าไทยมีโอกาสก้าวจาก “ครัวของโลก” ไปสู่ “ศูนย์กลางนวัตกรรม Food Ingredient แห่งเอเชีย” ได้ในอนาคต

โดยประเทศไทยสามารถสร้างความมั่นคงทางอาหารและสุขภาพ จากการผลิต Functional Ingredients (เช่น สารต้านอนุมูลอิสระ, โปรตีนจากพืช, เสริมภูมิคุ้มกัน, Anti-aging) ที่ตอบโจทย์สังคมผู้สูงอายุและผู้รักสุขภาพ ลดการพึ่งพาการนำเข้าวัตถุดิบเฉพาะ (Specialty Ingredients) จากต่างประเทศ ช่วยให้ประชาชนเข้าถึงโภชนาการที่ดีขึ้น และลดภาระด้านสาธารณสุขในระยะยาว

ขณะที่ตลาดผลิตภัณฑ์เสริมอาหารของไทยในปี 2568 คาดว่าจะมีมูลค่าสูงถึง 90,000 ล้านบาท เติบโต 7 – 9%  โดยได้รับแรงหนุนจากผลิตภัณฑ์ที่เน้นการดูแลสุขภาพเชิงป้องกัน เช่น ผลิตภัณฑ์เสริมภูมิคุ้มกัน อาหารบำรุงสมอง และผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพผิว ซึ่งผู้ประกอบการไทยมีจุดแข็งในการแข่งขัน ทั้งด้านวัตถุดิบและภูมิปัญญาไทย รวมถึงมาตรฐานการผลิตระดับสากลที่ได้รับการยอมรับ อย่างไรก็ตามด้วยต้นทุนเทคโนโลยีที่สูง การแข่งขันที่รุนแรงจากต่างประเทศ  การเข้าถึงนวัตกรรมและเครือข่ายระดับโลกจึงเป็นสิ่งจำเป็น

เวที Fi Asia & Vitafoods Asia 2025  จะช่วยปลดล็อค โดยทำหน้าที่เป็นสะพานเชื่อมให้ผู้ประกอบการไทย เข้าถึงเทคโนโลยีและส่วนผสมใหม่ๆ  ด้วยนวัตกรรมล่าสุด เช่น โปรตีนทางเลือกจากพืชและจุลินทรีย์, สารสกัดจากสมุนไพรที่มีคุณสมบัติเฉพาะ, และเทคโนโลยีการผลิตที่ยั่งยืน สร้างเครือข่ายธุรกิจระดับสากล การรวมตัวของผู้ผลิต ผู้ซื้อ และผู้เชี่ยวชาญจากทั่วโลกกว่า 30,000 คน ทำให้เกิดโอกาสในการสร้างพันธมิตรทางธุรกิจ และเปิดประตูสู่ตลาดใหม่ๆ  การได้นำเสนอผลิตภัณฑ์บนเวทีนี้ช่วยสร้างความเชื่อมั่นให้กับแบรนด์ และยืนยันว่าผลิตภัณฑ์ของไทยมีคุณภาพทัดเทียมกับมาตรฐานสากล

“Thailand – Kitchen of the World”

ดร. ภณธกร วงศ์เจริญ  กรรมการสมาคมการค้าอาหารอนาคตไทย และรองกรรมการผู้จัดการใหญ่ศูนย์นวัตกรรมอาหารเครือบริษัท เบทาโกร จำกัด (มหาชน) เสริมว่า ประเทศไทยมีโอกาสมากมายจากเมกะเทรนด์โลก ไม่ว่าจะเป็นความต้องการอาหารเพื่อสุขภาพ อาหารจากพืช (Plant-Based) และอาหารยั่งยืน นอกจากนี้ ชื่อเสียงของไทยในฐานะ “ครัวของโลก” ยังเป็นจุดแข็งสำคัญในการสร้างความเชื่อมั่นให้กับสินค้า แต่ก็มีความท้าทายในด้านต้นทุนการผลิตที่สูง การแข่งขันจากต่างประเทศ และกฎระเบียบที่ยังไม่ชัดเจน การเร่งปลดล็อคศักยภาพจึงเป็นเรื่องจำเป็น ทั้งในด้านการยกระดับมาตรฐาน การลงทุนในนวัตกรรม และการพัฒนาบุคลากร

นายนาคาญ์ ทวิชาวัฒน์ ประธานคลัสเตอร์อุตสาหกรรมสุขภาพและความงาม ประธานกลุ่มอุตสาหกรรมผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) ชี้ว่า อุตสาหกรรมผลิตภัณฑ์เสริมอาหารของไทยกำลังเติบโตอย่างรวดเร็ว โดยมีปัจจัยสำคัญที่ช่วยเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันในตลาดโลก ไม่ว่าจะเป็นด้านคุณภาพวัตถุดิบและภูมิปัญญาไทย, นวัตกรรมและเทคโนโลยี รวมถึงมาตรฐานการผลิตที่เชื่อถือได้ ประกอบกับประเทศไทยมีจุดแข็งด้านคุณภาพวัตถุดิบและภูมิปัญญาไทย ผสานกับนวัตกรรมและเทคโนโลยีที่ทันสมัย ซึ่งคลัสเตอร์ฯ มีบทบาทสำคัญในการสร้างเครือข่ายความร่วมมือ และสนับสนุนผู้ประกอบการให้เข้าถึงงานวิจัยและนวัตกรรมใหม่ ๆ

เชื่อมโยงงานวิจัยสู่เชิงพาณิชย์ – กุญแจสู่ความสำเร็จ

ผศ.ดร.พิสิฏฐ์ ธรรมวิถี รองคณบดีฝ่ายวิจัยและนวัตกรรมคณะเทคโนโลยีและนวัตกรรมผลิตภัณฑ์การเกษตร มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ (มศว) กล่าวการเชื่อมโยงภาคการศึกษาและธุรกิจ ส่งผลให้นวัตกรรมจากห้องวิจัยนำไปใช้จริงในเชิงพาณิชย์ ตัวอย่างงานวิจัยที่น่าสนใจ เช่น การใช้จุลินทรีย์ผลิตสารออกฤทธิ์, การสกัดสารสำคัญจากสมุนไพรไทย, และการพัฒนาอาหารจากพืช ซึ่งการสร้างโจทย์วิจัยร่วมกัน การมีตัวกลางประสานงาน และการสนับสนุนด้านเงินทุน เป็นปัจจัยสำคัญช่วยผลักดันให้เกิดนวัตกรรมที่ตอบโจทย์ตลาดได้อย่างแท้จริง

นายพานุศักดิ์ พลาวัสถ์พงษ์ อุปนายกและประธานกลุ่มผู้ผลิตเครื่องปรุงและอาหารพร้อมรับประทาน สมาคมผู้ผลิตอาหารสำเร็จรูป กล่าวว่า การยกระดับมาตรฐานการผลิต และความปลอดภัยอาหาร (Food Safety & Compliance) เป็นโจทย์ที่ผู้ประกอบการต้องให้ความสำคัญกับการลงทุนในระบบตรวจสอบ ทำงานเชิงรุกกับตลาดคู่ค้า เช่น สหภาพยุโรป/สหรัฐ ที่เข้มงวดด้าน ESG และ Carbon Footprint เป็นต้น

รวมไปถึง การสร้างมูลค่าเพิ่มผ่านนวัตกรรม (Innovation & Value Creation) พัฒนาอาหารสุขภาพ, Functional Food และ Plant-based ที่เป็นเมกะเทรนด์ ร่วมมือกับสถาบันวิจัย มหาวิทยาลัย และสตาร์ตอัป เพื่อสร้างสูตร/ผลิตภัณฑ์ใหม่ การปรับตัวด้านต้นทุนและห่วงโซ่อุปทาน ด้วยการใช้ระบบดิจิทัล เช่น AI และ Blockchain ในการจัดการโลจิสติกส์ ส่งเสริมการใช้วัตถุดิบทดแทนจากเกษตรในประเทศ เพื่อลดการนำเข้า พร้อมกับการเจาะตลาดใหม่และสร้างแบรนด์ไทยในเวทีโลก เช่น รุกตลาดเกิดใหม่ เช่น แอฟริกา, ตะวันออกกลาง, CLMV ใช้ e-Commerce รวมถึงการขับเคลื่อนด้วยนโยบายรัฐด้วยการทำงานใกล้ชิดกับ BOI, กรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ เพื่อดึงสิทธิประโยชน์ ขณะเดียวกันต้องสร้างมาตรฐานการผลิตที่สอดคล้องกับเป้าหมาย Net Zero และ SDGs เชื่อว่า สื่อสารภาพลักษณ์ “Thailand – Kitchen of the World” ยิ่งชัดเจนมากขึ้นในเวทีโลก

สำหรับงาน Fi Asia 2025 และ Vitafoods Asia 2025 จะเป็นเวทีสำคัญให้ผู้ประกอบการไทยคว้าโอกาสทางธุรกิจ เตรียมพร้อมรับมือกับความเปลี่ยนแปลง และร่วมกันขับเคลื่อนอุตสาหกรรมอาหารของไทยให้เป็นผู้นำในระดับโลกได้อย่างยั่งยืน

ลงทะเบียนร่วมงาน Fi Asia 2025 ได้ที่ Fi Asia 2025- Registration และร่วมงาน Vitafoods Asia 2025 ได้ที่ Vitafoods Asia 2025- Registration   วันที่จัดงาน 17 – 19 กันยายน 2568 ฮอลล์ 1 – 4 ชั้น G และฮอลล์ 5 – 8 ชั้น LG ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ (QSNCC)