นายระเฑียร ศรีมงคล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร “เคทีซี” หรือ บริษัท บัตรกรุงไทย จำกัด (มหาชน) เปิดเผยถึงผลการดำเนินงานช่วงไตรมาสแรกว่ามีกำไรสุทธิ 1,634 ล้านบาท ขยายตัว 23.6% จากไตรมาส 4/2563 และใกล้เคียงกับไตรมาส 1/2563 ที่ 1,641 ล้านบาท ลดลง -0.4% ยอดเงินให้สินเชื่อแก่ลูกหนี้และดอกเบี้ยค้างรับรวม 86,854 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 5.8% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า อัตราส่วนสินเชื่อด้อยคุณภาพต่อเงินให้สินเชื่อรวม (NPL) 1.9% (ไตรมาส 4/2563 เท่ากับ 1.8%) ผลจากความสามารถในการชำระหนี้ของลูกหนี้ลดลง
ฐานสมาชิกรวม 3.4 ล้านบัญชี แบ่งเป็น สมาชิกบัตรเครดิต 2,544,635 บัตร เงินให้สินเชื่อแก่ลูกหนี้บัตรเครดิตและดอกเบี้ยค้างรับรวม 57,393 ล้านบาท NPL บัตรเครดิตอยู่ที่ 1.4% ปริมาณการใช้จ่ายผ่านบัตรเครดิต 48,420 ล้านบาท และสมาชิกสินเชื่อบุคคลเคทีซี 809,981 บัญชี เงินให้สินเชื่อแก่ลูกหนี้สินเชื่อบุคคลและดอกเบี้ยค้างรับรวม 29,461 ล้านบาท NPL สินเชื่อบุคคลอยู่ที่ 2.9%”
ขณะที่รายได้รวมมีจำนวน 5,320 ล้านบาท ลดลง -6.2% (ไตรมาส 1/2563) จากการแพร่ระบาดของโควิด-19 ที่ส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นของผู้บริโภคในการใช้จ่าย และมาตรการของธนาคารแห่งประเทศไทยในการลดเพดานดอกเบี้ยทั้งธุรกิจบัตรเครดิตและสินเชื่อบุคคล ทำให้บริษัทฯ มีรายได้ดอกเบี้ยรวม (รวมรายได้ค่าธรรมเนียมการใช้วงเงิน) 3,357 ล้านบาท ลดลง -7.1% แบ่งเป็นรายได้ดอกเบี้ยจากธุรกิจบัตรเครดิต 1,604 ล้านบาท และธุรกิจสินเชื่อบุคคล 1,753 ล้านบาท ขณะที่รายได้ค่าธรรมเนียม (ไม่รวมรายได้ค่าธรรมเนียมการใช้วงเงิน) มีมูลค่า 1,082 ล้านบาท ลดลง -8.6% จากการลดลงของรายได้ค่าธรรมเนียมในการเบิกเงินสดล่วงหน้า รายได้ค่าธรรมเนียมในการติดตามหนี้ รายได้ค่าธรรมเนียม Interchange Fee และรายได้ค่าธรรมเนียมอื่นๆ ลดลง ขณะที่รายได้ค่าธรรมเนียมที่เคทีซีได้รับจากร้านค้าผู้รับชำระบัตรเพิ่มขึ้น 3.5%
อย่างไรก็ตาม การบริหารค่าใช้จ่ายอย่างรัดกุมสอดคล้องกับสถานการณ์ที่เผชิญอยู่ การจัดการติดตามหนี้ที่มีประสิทธิภาพ ทำให้สามารถควบคุมค่าใช้จ่ายรวมให้อยู่ที่ 3,281 ล้านบาท ลดลง -9.6% เทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน จากการลดลงของ 3 ค่าใช้จ่ายหลักคือ ค่าใช้จ่ายจากการดำเนินงานรวม -11.2% ผลขาดทุนที่คาดว่าจะเกิดขึ้น -8.0% และต้นทุนทางการเงิน -7.6% อีกทั้งยังมีรายได้หนี้สูญรับคืนอยู่ที่ 834 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 2.4% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน ทำให้ไตรมาสแรกมีสัดส่วนค่าใช้จ่ายต่อรายได้รวมลดลงเล็กน้อย เป็นผลให้กำไรสุทธิของบริษัทใกล้เคียงเดิม
นอกจากนี้ ยังได้ดำเนินการสนับสนุนภาครัฐในการช่วยเหลือแบ่งเบาภาระลูกค้าที่ได้รับผลกระทบจากโควิด-19 ตั้งแต่วันที่ 26 มีนาคม 2563 เรื่อยมา และจะขยายเวลาจนถึงวันที่ 30 มิถุนายน 2564 โดยปัจจุบันลูกหนี้ที่เข้าร่วมมาตรการช่วยเหลือมียอดหนี้คงเหลือเท่ากับ 1,169 ล้านบาท (16,066 บัญชี)
สำหรับทิศทางการทำธุรกิจในปี 2564 บริษัทฯ จะมุ่งสร้างความแข็งแกร่งให้พอร์ตลูกหนี้หลัก เพื่อก้าวสู่การเป็นผู้นำธุรกิจสินเชื่อเบ็ดเสร็จครบวงจร หลังจากที่ประชุมผู้ถือหุ้นได้มีมติเป็นเอกฉันท์ให้มีการเข้าถือหุ้นใหญ่ในบริษัท กรุงไทย ลีสซิ่ง จำกัด โดยจะเน้นการพัฒนาองค์กรและธุรกิจให้เติบโตอย่างยั่งยืนด้วย 2 องค์ประกอบสำคัญคือ
1) ใช้เทคโนโลยีดิจิทัลในนำเสนอผลิตภัณฑ์ บริการและระบบการชำระเงินผ่านช่องทางออนไลน์ที่ตอบทุกโจทย์ความต้องการ เน้น Digital Transformation บน 3 แกนหลัก คือ Digital Product, Digital Service และ Digital Channel
2) สร้างการเข้าถึงผลิตภัณฑ์และบริการของบริษัทฯ อย่างทั่วถึง เท่าเทียม และเป็นธรรม อีกทั้งมีส่วนร่วมกับสังคมในการพัฒนาความรู้ความเข้าใจทางการเงิน สร้างวินัยในการใช้จ่าย เน้นการนำไปต่อยอดการใช้ชีวิตและเสริมสร้างพอร์ตลูกหนี้ที่มีคุณภาพอย่างยั่งยืน
นายระเฑียร กล่าวถึงกรณีที่ ทริส เรตติ้ง ประกาศปรับเพิ่มอันดับเครดิตของเคทีซีเป็น AA- จาก A+ เมื่อต้นเดือนเมษายน 2564 ที่ผ่านมาว่า จะช่วยเสริมภาพลักษณ์ความแข็งแกร่งด้านการจัดหาเงินทุนให้สามารถรีไฟแนนซ์หุ้นกู้ใหม่ ด้วยต้นทุนที่ต่ำลงได้อีก โดย ณ วันที่ 31 มีนาคม 2564 บริษัทฯ มีวงเงินสินเชื่อคงเหลือ (Available Credit Line) เท่ากับ 23,260 ล้านบาท มีต้นทุนการเงินอยู่ที่ 2.64% อัตราส่วนของหนี้สินต่อส่วนของ ผู้ถือหุ้นอยู่ที่ 2.43 เท่า ซึ่งต่ำกว่าภาระผูกพันที่กำหนดไว้ที่ 10 เท่า