“ทรินี้ตี้” เผยปี 2566 เศรษฐกิจโลกผันผวน แนะเพิ่มน้ำหนัก Global Fixed Income หุ้นใน Emerging Market เน้นจีน เวียดนาม และไทย ชี้ Q 1 ตลาดหุ้นอาเซียนและไทยให้ผลตอบแทนดีสุด จากดอลลาร์อ่อนค่า ส่งผลต้นทุนวัตถุดิบและเงินเฟ้อลดลง ย้ำปัจจัยสำคัญที่สุด คือ นโยบายดอกเบี้ย Fed ช่วงกลางปี ที่จะมีผลต่อทิศทางตลาดทุนทั่วโลก
ดร.วิศิษฐ์ องค์พิพัฒนกุล กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์ ทรีนีตี้ จำกัด เปิดเผยว่า ปี 2566 แนวโน้มตลาดหุ้นทั่วโลกผันผวน จากภาวะเศรษฐกิจถดถอย ซึ่งเป็นผลจากธนาคารกลางสหรัฐหรือ Fed ขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายในปี 2565 กว่า 4% เพื่อลดอัตราเงินเฟ้อที่ระดับ 8 – 9% ให้ลงมาแตะ 2% ในอีก 2 ปีข้างหน้า ส่งผลให้เศรษฐกิจสหรัฐฯ อาจติดลบ 0.1% ไตรมาส 2 ปีนี้ และอาจลากยาวติดลบ 2.3% ในไตรมาส 1 ปี 2567 ขณะที่เศรษฐกิจ Euro Zone อาจติดลบ 0.4% ในไตรมาส 4 ของปี 2565 และติดลบอีก 0.4% ในไตรมาส 1 ก่อนที่ฟื้นตัวบวก 0.2% ในไตรมาส 2 ปีนี้ ส่วนเศรษฐกิจจีนฟื้นตัวที่ 4 – 5% และอาจแตะระดับ 6.8% ในไตรมาส 2 ของปี 2567
ทั้งนี้การคาดการณ์ว่าเศรษฐกิจสหรัฐฯถดถอย ขณะที่จีนเปิดประเทศ จะส่งผลให้ Fund Flow ไหลออกจากสหรัฐฯ และเข้ามาลงทุนในตลาดหุ้นเกิดใหม่ต่อเนื่องจากปี 2565 เห็นได้จากนักลงทุนต่างประเทศซื้อหุ้นใน ASEAN 6 ประเทศ กว่า 1.2 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐฯ สูงสุดในประวัติศาสตร์ ขณะที่ประเทศไทยมี Fund Flow จากนักลงทุนต่างประเทศไหลเข้ากว่า 2 แสนล้านบาท ทำให้ MSCI ของ ASEAN ถูก overweight สูงกว่า Benchmark กว่า 1.6% จากนั้นในครึ่งปีหลังจะเห็น Fund Flow ไหลไปยังประเทศเอเชียเหนือ
“ช่วงสัปดาห์แรกของปี 2566 นักลงทุนต่างประเทศเป็นฝ่ายซื้อสุทธิกว่า 7.8 พันล้านบาทในตลาดหุ้นไทย และ 4.2 หมื่นล้านบาท ในตลาดพันธบัตรระยะสั้นไทย และยังคาดว่าในช่วงครึ่งปีหลังจะเห็นเงินไหลไปลงทุนประเทศในเอเชียเหนือ เช่น เกาหลีใต้ และไต้หวัน มากขึ้น และจะทำให้กลุ่ม Tech ในจีน ไต้หวัน และเกาหลีใต้ outperform ขึ้นมา ซึ่งจะเป็นปัจจัยเสี่ยงต่อ Fund Flow ไหลออกจากตลาดหุ้นอาเซียนรวมถึงหุ้นไทย”
สำหรับตลาดหุ้นไทยปี 2566 ดร.วิศิษฐ์ มองว่าดัชนีหุ้นไทยจะแกว่งอยู่ระหว่าง 300 จุด โดยช่วงไตรมาส 1 ให้ผลตอบแทนที่ดีที่สุด จากเงินดอลล่าร์อ่อนค่าทำให้ต้นทุนวัตถุดิบถูกลง เงินเฟ้อลดลง แนะนำการลงทุนกลุ่มธนาคาร กลุ่มค้าปลีก กลุ่มโรงไฟฟ้า กลุ่ม Infrastructure Fund กลุ่ม Industrial Estate และกลุ่มโทรคมนาคม จากนั้นตั้งแต่ไตรมาส 2 นักลงทุนต่างประเทศเริ่มหาจังหวะลดการลงทุนหุ้นในอาเซียน โดบอาจขายหุ้น1 ส่วน 3 ของ 1.2 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐฯ หรือราว 4,000 ล้านเหรียญที่ซื้อไว้ในปี 2565 เพื่อคงน้ำหนักลงทุนให้เท่า Benchmark MSCI Emerging Market
“ 2566 เป็นปีที่มีความผันผวนมาก มีทั้งปัจจัยบวกและลบ เงินทุนเคลื่อนย้ายเร็วขึ้น ขณะที่ Fed มีโอกาสกลับทิศจากการขึ้นดอกเบี้ยต้นปี 2566ไปเป็นลดดอกเบี้ยแทน และอาจจะลดกว่า 1.75% ปลายปี 2566 กลยุทธ์ลงทุน แนะนำให้ Overweight ในสินทรัพย์ที่ไม่ใช่ดอลลาร์ เช่น ทองคำ หรือค่าเงิน Yen แข็งค่าขึ้น ”
“โดย Asset Allocation ปี 2566 ให้เพิ่มน้ำหนักการลงทุนใน Global Fixed Income 25 – 30% หุ้นใน Emerging Market 20 – 25% (เน้นหุ้นจีน และเวียดนาม) หุ้นไทย 10 – 15% ทองคำ 5 – 10% หุ้นยุโรปและหุ้นญี่ปุ่น 5% และเงินสด 25 – 30%”
อย่างไรก็ตาม การตัดสินใจเรื่องนโยบายดอกเบี้ยของ Fed ในช่วงกลางปี 2566 จะเป็นปัจจัยที่สำคัญที่สุด และจะมีผลต่อทิศทางตลาดทุนทั่วโลก โดยคาดการณ์ไว้ 3 กรณี ได้แก่
กรณีที่ 1: Fed ขึ้นดอกเบี้ย 0.5% ในไตรมาส 1 สู่ระดับ 5% แล้วหยุดทั้งปี มองมีโอกาสเกิดขึ้น 35 – 40% ผลคือ ตลาดหุ้นทั่วโลกจะ Sideway up แต่ Fund Flowจะเคลื่อนย้ายมาสู่เอเชียเหนือมากขึ้น (กรณีฐาน)
กรณีที่ 2: Fed ขึ้นดอกเบี้ย 0.5% ในไตรมาส 1 สู่ระดับ 5% แล้วปรับลดลงกว่า 1 – 1.5% ในไตรมาส 4 มองมีโอกาสเกิดขึ้น 30 – 35% ผลคือ ตลาดหุ้นใน Emerging Market จะ outperform
กรณีที่ 3: Fed ขึ้นดอกเบี้ย 0.5% ในไตรมาส 1 สู่ระดับ 5% ในไตรมาส 1 และหยุด และปรับขึ้นดอกเบี้ยต่ออีกครั้งในช่วงปลายปีสู่ระดับ 6.5% มองมีโอกาสเกิดขึ้นแค่ 20% ผลคือ ตลาดหุ้นทั่วโลกจะปรับฐาน (สถานการณ์ที่เลวร้ายสุด)