ธนาคารกรุงเทพ ปักหมุดอินเดียตลาดใหม่ศักยภาพน่าลงทุน มีขนาดใหญ่เป็นอันดับ 5 ของโลก เศรษฐกิจโตปีละ 6-7% เผยกำลังศึกษาข้อมูลวางแผนขยายสาขา แนะนักธุรกิจไทยศึกษาโอกาสขยายตลาด โดยพร้อมเป็น”เพื่อนคู่คิด”แนะนำข้อมูล และสนับสนุนสินเชื่อลงทุนในอินเดียอย่างมีประสิทธิภาพ
นายชาติศิริ โสภณพนิช กรรมการผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า อินเดียมีขนาดใหญ่เป็นอันดับ 5 ของโลก มีอัตราการเติบโตเศรษฐกิจ 6-7% ต่อปี ต่อเนื่องตลอดหลายปีที่ผ่านมาและในอีก 5-10 ปีข้างหน้า เป็นโอกาสของนักธุรกิจไทยที่จะเข้าไปค้าขายหรือลงทุน ซึ่งธนาคารพร้อมสนับสนุนผู้ประกอบการไทย ทั้งให้คำปรึกษา จัดการความเสี่ยง และสนับสนุนด้านการเงิน เพื่อช่วยให้ธุรกิจไทยปรับตัวและเติบโตอย่างแข็งแกร่งและยั่งยืนในตลาดที่มีศักยภาพ
ปัจจุบันธนาคารมีลูกค้าอินเดียและชาวไทยเชื้อสายอินเดีย ทั้งจากสาขาในประเทศไทยและสาขาในต่างประเทศจำนวนมาก เศรษฐกิจอินเดียที่ขยายตัวต่อเนื่อง ทำให้ลูกค้าโดยเฉพาะธุรกิจขนาดใหญ่หลายกลุ่มอุตสาหกรรมเข้าไปลงทุนในอินเดียและจะมีมากขึ้นในอนาคต ดังนั้นธนาคารจึงสร้างพันธมิตรกับธนาคารท้องถิ่นและองค์กรการเงินในอินเดีย และอยู่ระหว่างศึกษาข้อมูลเพื่อขยายสาขา เพื่อเป็นข้อมูลสนับสนุนให้ธุรกิจไทยเข้าใจและปรับตัวให้เข้ากับภูมิทัศน์ทางการเงินที่มีความซับซ้อนและเปลี่ยนแปลงได้อย่างมีประสิทธิภาพ และเข้าไปลงทุนในตลาดอินเดียได้อย่างเหมาะสม
“ในฐานะ “ธนาคารชั้นนำระดับภูมิภาค” เรามีความพร้อมในการให้คำปรึกษาด้านการลงทุน ด้วยข้อมูลที่ครอบคลุมทุกมิติ ทั้งด้านสังคม วัฒนธรรม กฎระเบียบต่างๆที่มีความซับซ้อน รวมทั้งด้านการเงินที่เกี่ยวข้องกับการค้าระหว่างประเทศ เช่น การจัดหาทุนสำหรับ การนำเข้าและส่งออก คำแนะนำด้านการจัดการความเสี่ยง เช่น การทำประกันความเสี่ยงด้านอัตราแลกเปลี่ยน เพื่อช่วยให้ธุรกิจไทยลงทุนได้อย่างมั่นใจและขยายตลาดได้อย่างราบรื่น”นายชาติศิริ กล่าว
นายนาเคศ สิงห์ (H.E. Mr. Nagesh Singh) เอกอัครราชทูตอินเดียประจำประเทศไทย กล่าวว่า นักลงทุนไทยยังมีความเข้าใจเกี่ยวกับอินเดียคลาดเคลื่อนและยังไม่รู้จักอินเดียอย่างแท้จริง จึงไม่กล้าตัดสินใจเข้ามาลงทุน แต่ด้วยศักยภาพที่ผ่านมาจากอัตราการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจที่เพิ่มขึ้นต่อเนื่อง โดยเฉลี่ย 8% ต่อปี คิดเป็น 17% ของจีดีพีโลก และคาดหวังจะเป็น 1 ใน 5 ประเทศของโลกที่ขับเคลื่อนเศรษฐกิจโลก ชี้ให้เห็นว่า อินเดียกำลังเป็นที่น่าจับตามอง และจะกลายเป็นดาวรุ่งของภูมิภาค ที่มีความพร้อมทั้งทรัพยากร เทคโนโลยี แรงงาน และต้นทุนที่ต่ำ ด้วยจำนวนประชากรที่มากที่สุดในโลก โดยคาดว่าในปี 2570 อินเดียจะเป็นตลาดผู้บริโภคที่ใหญ่เป็นอันดับ 3 ของโลก
“ไทยและอินเดียมีความสัมพันธ์กันมายาวนาน ร่วมมือทั้งในระดับอาเซียน และเป็นหุ้นส่วนในระดับทวิภาคีต่างๆ แต่การลงทุนของไทยในอินเดีย ยังคงต่ำกว่าที่คาดการณ์ โดยปัจจุบันการลงทุนของไทยในอินเดียเป็นอันดับ 5 รองจากสิงคโปร์ อินโดนีเซีย มาเลเซีย และเวียดนาม” นายนาเคศกล่าว
นางสาวภัทรัตน์ หงษ์ทอง เอกอัครราชทูตไทยประจำสาธารณรัฐอินเดีย กล่าวว่า สิ่งสำคัญในการเข้าไปทำธุรกิจในอินเดียคือ ความเชื่อมั่น(Trust) และ ความมั่นใจ (Confidence) เปิดใจที่จะยอมรับและทำความรู้จักตลาดอินเดียดาวรุ่งของการลงทุนให้มากขึ้น ด้วยปัจจัยสนับสนุนหลายด้าน ไม่ว่าจะเป็น ด้านการเชื่อมต่อด้านคมนาคม ที่ขนส่งได้ทั้งทางอากาศ มีเครื่องบินระหว่างกัน 328 เที่ยวบินต่อสัปดาห์ ทางบกด้วยเส้นทางถนนสามฝ่ายอินเดีย-ไทย-เมียนมา และทางน้ำจากความร่วมมือระหว่างท่าเรือระนองกับท่าเรืออินเดีย
ด้านสินค้าอุปโภคบริโภค และสินค้ากลุ่ม Supply Chain ยังเป็นที่ต้องการและมีโอกาสอีกมากในตลาดอินเดีย ด้วยประชากรที่มากกว่า 1.4 พันล้านคนทำให้มีอัตราการบริโภคสูง ซึ่งสินค้าส่งออกของไทยที่ยังเป็นที่ต้องการ อาทิ กลุ่มอาหารและเครื่องดื่ม มีมูลค่าการส่งออกไปอินเดียกว่า 1 พันล้านบาท กลุ่มสินค้าผลไม้สดและแปรรูป มีมูลค่าส่งออกกว่า 607 ล้านบาท นอกจากนี้ กลุ่มสินค้าของตกแต่งบ้านและเฟอร์นิเจอร์ ก็ยังได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นจากไลฟ์สไตล์ของคนอินเดียที่เปลี่ยนแปลงไป รวมทั้งกลุ่มชิ้นส่วนยานยนต์ เพื่อรองรับอุตสาหกรรมการผลิตรถยนต์ที่อินเดียเป็นศูนย์กลางผลิตยานยนต์ที่ใหญ่ที่สุดในโลก
ทั้งนี้ อินเดียยังสนับสนุนให้ผู้ประกอบการเข้ามาลงทุนในอินเดียเพิ่มขึ้น ด้วยการสร้างพื้นที่เศรษฐกิจพิเศษในเมืองต่างๆ เพื่อรองรับหลากหลายอุตสาหกรรม ซึ่งอุตสาหกรรมที่รัฐบาลอินเดียสนับสนุนเป็นอันดับต้นๆ คือ อุตสาหกรรมเกษตรและแปรรูปอาหาร ธุรกิจบริการ โรงแรม อุตสาหกรรมเฟอร์นิเจอร์ และอุตสาหกรรมชิ้นส่วนยานยนต์ เป็นต้น โดยปัจจุบันมีบริษัทในไทยเข้าไปลงทุนอยู่ราว 45 บริษัทเท่านั้น
“สินค้าและการลงทุนจากไทย เป็นที่ต้องของอินเดียเป็นอันดับต้นๆ และมีโอกาสในการขยายตลาดอีกมาก เช่น ธุรกิจร้านอาหารในกรุงนิวเดลี มีร้านอาหารไทยเพียง 1 ร้าน ทั้งๆที่มีประชากรกว่า 30-40 ล้านคน นักธุรกิจไทยที่ต้องการเข้าไปลงทุนในอินเดียควรเริ่มจากการส่งออกสินค้าไปอินเดียก่อน เพื่อทำความคุ้นเคยกับตลาดที่ค่อนข้างซับซ้อนเรื่องข้อกฎหมาย ที่มีทั้งกฎหมายส่วนกลาง และกฎหมายระดับท้องถิ่น หากสามารถเข้าไปลงทุนในอินเดียได้ เชื่อมั่นว่าเป็นตลาดใหม่ที่สร้างความยั่งยืนในระยะยาวให้แก่ภาคธุรกิจได้เติบโตอย่างมั่นคง” นางสาวภัทรัตน์กล่าว