CIMB THAI ชี้เลือกตั้งสหรัฐ-สงครามการค้า เป็นแต้มต่อหนุน ASEAN

0
69

ดร.อมรเทพ จาวะลา ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ ผู้บริหารสำนักวิจัย ธนาคาร ซีไอเอ็มบี ไทย  เปิดเผบว่า ความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ สงครามการค้า และการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐย่อมส่งผลต่อการเติบโตใน ASEANอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้   แต่ในภาพใหญ่ไม่ว่าใครจะได้เป็นประธานาธิบดีสหรัฐ  อาเซียนก็ได้อานิสงส์จากการเปลี่ยนแปลง เมื่อจีนส่งออกไปสหรัฐไม่ได้การค้าจีนกับอาเซียนจะเพิ่มเป็นทวีคูณ  ขณะเดียวกันหลายประเทศในอาเซียนเกินดุลการค้ากับสหรัฐมากขึ้น แม้แต่สิงคโปร์ที่ขาดดุลการค้ากับสหรัฐก็ขาดดุลลดลง  ขณะที่สหรัฐขาดดุลการค้ากับอาเซียนมากขึ้น

อย่างไรก็ดี หากอาเซียนรับมือกับสงครามการค้าครั้งใหม่ได้ไม่ดีพอ การค้าโลกที่มีความเสี่ยงจะลดลงอาจกระทบกับการค้าและการเชื่อมโยงด้านการลงทุนของอาเซียนได้   ทั้งนี้ ประโยชน์และผลกระทบที่แต่ละประเทศจะได้รับขึ้นอยู่กับปัจจัยภายในของแต่ละประเทศ เช่น ความสามารถในการแข่งขัน ความน่าดึงดูดในการลงทุน และสิ่งอำนวยความสะดวกจากภาครัฐ 

ขณะที่ตัวเลขการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ (FDI) ทั่วโลก ลดลง 2% สู่ 1.3 ล้านล้านดอลลาร์ในปี 2566 ท่ามกลางการชะลอตัวทางเศรษฐกิจและความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์  แต่ FDI ในประเทศสมาชิกอาเซียนเพิ่มขึ้น 1% เป็น 2.26 แสนล้านดอลลาร์  โดยสิงคโปร์ได้รับ FDI มากที่สุดในภูมิภาค ตามมาด้วยอินโดนีเซีย เวียดนาม มาเลเซีย ฟิลิปปินส์ และไทย ตามรายงานการลงทุนโลกปี 2567 โดย UNCTAD สะท้อนภาพชัดว่าโลกกำลังย้ายฐานการผลิตมา ASEAN 

นายวุธว์ ธนิตติราภรณ์ รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ บรรษัทธุรกิจและธุรกรรมการเงิน ธนาคาร ซีไอเอ็มบี ไทย กล่าวว่า  สงครามการค้าสหรัฐ-จีน ทำให้การค้าของจีน และสหรัฐกับประเทศอื่นๆมีศักยภาพมากขึ้น เปิดโอกาสให้ผู้ประกอบการในกลุ่มประเทศอาเซียนได้คู่ค้าใหม่ๆ เนื่องจากอุปสงค์ของสหรัฐและโลกยังมีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง จึงเป็นโอกาสสำคัญให้กับผู้ประกอบการในประเทศไทยที่มีความพร้อม มีโอกาสที่จะเติบโตและขยายธุรกิจในกลุ่มประเทศอาเซียนเช่นเดียวกัน

โดยประเทศที่น่าลงทุน  เริ่มจาก มาเลเซีย  ประเทศเพื่อนบ้านที่คนไทยเข้าถึงง่ายที่สุด โดดเด่นในภาคบริการและการผลิตสินค้าที่อาศัยเทคโนโลยีขั้นสูง เป็นตลาดที่มีโอกาสเติบโตในอนาคต โดยปี 2566 มีเงินลงทุนไหลเข้ามาเลเซียกว่า 3.29 แสนล้านริงกิต เติบโต 23% จากปีก่อนหน้า นับเป็นมูลค่าสูงสุดในประวัติศาสตร์  ส่วนสินค้าส่งออกของมาเลเซียหลักๆ คือ ผลิตภัณฑ์ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ ผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียม ก๊าซธรรมชาติ น้ำมันปาล์ม และอุปกรณ์โทรคมนาคม  

 อินโดนีเซีย ที่ปัจจุบันมีประชากรกว่า 280 ล้านคน มีการเติบโตของ GDP อย่างต่อเนื่อง ทำให้มีแนวโน้มความต้องการสินค้าอุปโภคและบริโภคมากขึ้นเรื่อยๆ ในปี 2566 มีเงินลงทุนไหลเข้า 4.75 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ เพิ่มขึ้น 6% โดยแหล่ง FDI ใหญ่ที่สุด ได้แก่ สิงคโปร์ จีน และฮ่องกง โดยอุตสาหกรรมโลหะพื้นฐานได้รับ FDI เยอะที่สุด สินค้าส่งออกหลักของอินโดนีเซีย คือ ถ่านหิน น้ำมันปาล์ม เหล็กและเหล็กกล้า    

สิงคโปร์ ศูนย์กลางการเงินและการค้าของภูมิภาค ในปี 2566 มี FDI มูลค่าสูงถึง 2.14 แสนล้าน สิงคโปร์ดอลลาร์ เติบโต 10% จากการเพิ่มขึ้นของทุนจดทะเบียนและกำไรสะสม โดยประเทศที่มีการลงทุนสูงสุด 5 อันดับแรก ได้แก่ สหรัฐอเมริกา เนเธอร์แลนด์ จีน ญี่ปุ่น และฮ่องกง โดยส่วนแบ่งตลาดใหญ่ที่สุดของ FDI อยู่ในภาคบริการทางการเงินและการประกันภัย ส่วนสินค้าส่งออกหลัก คือ ปิโตรเลียม เครื่องจักร และเคมีภัณฑ์ 

ประเทศไทย ช่วงเดือนมกราคมถึงมิถุนายน 2567 นักลงทุนต่างชาติและในประเทศยื่นคำขอส่งเสริมการลงทุนจากคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (BOI) เพิ่มขึ้น 35% มูลค่ารวม 4.58 แสนล้านบาท โดยในครึ่งแรกของปี 2567 ภาคอุตสาหกรรมไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ ครองอันดับหนึ่งด้วยมูลค่าการลงทุน 1.39 แสนล้านบาท (30.5% ของมูลค่าการขอลงทุนรวมของ BOI) รองลงมาคือภาคยานยนต์ 3.99 หมื่นล้านบาท (8.7% ของมูลค่ารวม)  และเกษตรกรรมขั้นสูง 3.31 หมื่นล้านบาท (7.2% ของมูลค่ารวม) 

สำหรับ Mega Trend ที่น่าจับตามี 4 กลุ่มหลัก ได้แก่

1. Sustainability หรือการเปลี่ยนผ่านสู่ความยั่งยืน โดยที่ผ่านมาตลาดเกิดใหม่ไม่ว่าในเรื่องของพลังงานสะอาด รถยนต์ไฟฟ้า หรือผลิตภัณฑ์รีไซเคิล เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง

2. AI หรือปัญญาประดิษฐ์ ที่นำมาพัฒนาเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานและการผลิตได้ในทุกภาคส่วน ทำให้เกิดความต้องการที่เติบโตแบบก้าวกระโดดอย่างต่อเนื่อง

3. Food Security ความมั่นคงทางอาหารเป็นอีกเรื่องหนึ่งที่ประเทศใหญ่ๆ หันมาให้ความสำคัญกันมากโดยเฉพาะประเทศที่มีประชากรและการเติบโตของประชากรสูง

4. Consumer Behavior  พฤติกรรมของผู้บริโภคยุคใหม่ ที่เน้นเรื่องของความสะดวกรวดเร็วและเข้าถึงแหล่งข้อมูลของสินค้าที่ต้องการโดยง่าย ทำให้ภาคธุรกิจต้องปรับตัวให้เหมาะกับความต้องการของผู้บริโภค

“เทรนด์ที่กำลังมาบวกกับจุดเด่นของภูมิภาคอาเซียน ทำให้เกิดโอกาสใหม่ๆให้ภาคธุรกิจอย่างแน่นอน และ CIMB ก็พร้อมให้การสนับสนุนและผลักดันให้ผู้ประกอบการไทยเติบโตไปในภูมิภาคอาเซียนด้วยกัน เรามีผู้เชี่ยวชาญ ที่มี Know-how และ Network ทำงานประสานใกล้ชิดกับคนท้องถิ่นที่รู้จักตลาดเป็นอย่างดี เรียกว่าเป็น ASEAN total solutions” นายวุธ กล่าว

น.ส. ปนิดา ตั้งศรีวงษ์ รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ สถาบันการเงินประเทศไทย และ CLMV ธนาคาร ซีไอเอ็มบี ไทย กล่าวว่า การเติบโตของธุรกิจในอาเซียน สิ่งที่ขาดไม่ได้ คือเม็ดเงิน ทั้งการเข้าไปลงทุนโดยตรง (direct investment) การลงทุนผ่านหลักทรัพย์ต่างๆ หุ้นในตลาดหลักทรัพย์ หรือ หุ้นกู้ (indirect investment) ซึ่งประเทศส่วนใหญ่ในอาเซียน ยังดำเนินนโยบายอัตราแลกเปลี่ยนอย่างระมัดระวัง และมีกฎเกณฑ์ในการเคลื่อนย้ายเงินทุนค่อนข้างเข้มงวด นักลงทุนที่เห็นโอกาสเติบโต จึงมองหาธนาคารที่เข้าใจกฎเกณฑ์เหล่านี้ และให้คำแนะนำได้ดีที่สุด อีกทั้งมีเครื่องมือบริหารความเสี่ยง ดูแลค่าเงินและดอกเบี้ยที่มีความผันผวนสูง ให้ลูกค้าอย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่ง CIMB ตอบทุกโจทย์ความต้องการ  

นอกจากนี้ CIMB Group และ CIMB THAI ยังได้รับความไว้วางใจในการทำหน้าที่เป็นตัวกลางให้บริการ Cross-border QR Payment  ความร่วมมือระหว่างประเทศในภูมิภาคอาเซียนที่มุ่งเน้นส่งเสริมธุรกิจท่องเที่ยวและการค้าระหว่างประเทศให้คล่องตัวยิ่งขึ้น

ปัจจุบัน ผู้ที่เดินทางไป 7 ประเทศในอาเซียน (Malaysia, Indonesia, Singapore, Thai, Cambodia, Vietnam, Lao) รวมถึงฮ่องกงและญี่ปุ่น สามารถใช้จ่าย โดยสแกน QR ผ่านแอปพลิเคชันของธนาคารในประเทศไทย และชำระเงินได้ทันที โดยธนาคาร ซีไอเอ็มบี ไทย เป็นหนึ่งในธนาคารที่ร่วมผลักดันโครงการนี้ ระหว่างไทย-มาเลเซีย และ ไทย-อินโดนีเซีย   

“นักลงทุนทั่วโลกฟีดแบ็คกลับมาว่า เวลาที่เขาคิดจะมาลงทุนในอาเซียน เขาจะคิดถึง ธนาคาร CIMB เป็นอันดับแรกๆ เพราะเราตอบโจทย์นักลงทุน ด้วยผู้เชี่ยวชาญที่เข้าใจตลาดท้องถิ่น มีเครื่องมือครบ ผนวกเข้ากับเครือข่ายในและนอกอาเซียน  เป็น one stop service จึงเป็นที่มาของ คำว่า ‘Think ASEAN, Think CIMB”  น.ส. ปนิดา กล่าวสรุป