EIC ประเมินเศรษฐกิจโลกชะลอตัวจากเงินเฟ้อ-การเงินตึงตัว คาด กนง.ทยอยขึ้นดอกเบี้ยนโยบาย สิ้นปีแตะ 1.25%   

0
110

ศูนย์วิจัยเศรษฐกิจและธุรกิจ (Economic Intelligence Center: EIC) ธนาคารไทยพาณิชย์ ประเมินว่า เศรษฐกิจโลกมีสัญญาณชะลอตัวลง  โดยหลายตัวชี้วัดทางเศรษฐกิจสะท้อนความเสี่ยงที่เพิ่มขึ้น  ดังนี้

เศรษฐกิจสหรัฐฯ เข้าสู่ภาวะถดถอยทางเทคนิค (Technical recession) ในไตรมาสที่ 2  แม้การจ้างงานยังอยู่ในระดับดี ขณะที่ความเสี่ยงด้านอุปทานพลังงานในยุโรปจากการลดปริมาณการส่งก๊าซธรรมชาติจากรัสเซียและภาวะเงินเฟ้ออาจส่งผลให้เศรษฐกิจยุโรปหดตัวในไตรมาสที่ 3 ความเชื่อมั่นผู้บริโภคทั่วโลกปรับลดลงอย่างมีนัยสำคัญตามเงินเฟ้อที่เร่งตัว ซึ่งลดทอนอำนาจซื้อ และการตึงตัวของนโยบายการเงิน

ปัญหาการชะงักงันของอุปทานโลกแม้เริ่มคลี่คลาย แต่ความเสี่ยงด้านภูมิรัฐศาสตร์โลก โดยเฉพาะท่าทีที่แข็งกร้าวระหว่างจีนและสหรัฐฯ ต่อกรณีไต้หวัน ยังตอกย้ำแนวโน้มของการแบ่งแยกอุปทานโลก (Global supply chain decoupling) ที่กำลังดำเนินอยู่อย่างต่อเนื่องในโลกหลังโควิด ความเสี่ยงต่อภาวะถดถอยทางเศรษฐกิจ (Recession) ที่เพิ่มสูงขึ้น

แนวโน้มเงินเฟ้อที่อาจผ่านพ้นจุดสูงสุดในไตรมาสที่ 3 และจะเริ่มชะลอตัวตามราคาพลังงานและกิจกรรมทางเศรษฐกิจที่ชะลอลงทั้งในภาคการผลิตตามการชะลอตัวของอุปสงค์โลก และในภาคบริการตามแรงส่งของอุปสงค์คงค้างที่ทยอยหมดลงและปัจจัยทางฤดูกาล จะส่งผลให้ธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) มีแนวโน้มปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายในอัตราที่ช้าลง ส่งผลให้ความผันผวนในตลาดเงินโลกลดลงและผลตอบแทนต่อสินทรัพย์เสี่ยงเริ่มฟื้นตัว

สำหรับเศรษฐกิจไทยมีทิศทางฟื้นตัวต่อเนื่องหลังเปิดประเทศ แม้เงินเฟ้อยังเป็นปัจจัยกดดันและส่งผลกระทบต่อกำลังซื้อของครัวเรือนอย่างกว้างขวาง  โดยในไตรมาสที่ 2  เศรษฐกิจไทยขยายตัว 2.5% จากการเร่งตัวของการบริโภคในประเทศ การฟื้นตัวของภาคบริการโดยเฉพาะภาคท่องเที่ยวและการค้าส่งและค้าปลีก และรายได้ในภาคเกษตรที่ขยายตัวในเกณฑ์ดี ในระยะต่อไป

โดยการเปิดประเทศต้อนรับนักท่องเที่ยวต่างชาติจะส่งผลให้ภาคท่องเที่ยวและภาคบริการกลายเป็นปัจจัยขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยที่สำคัญมากขึ้น  โดย EIC ประมาณการนักท่องเที่ยวต่างชาติที่เดินทางเข้าไทยในปีนี้แตะ 10 ล้านคน (เดิม 7.4 ล้านคน) และจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติในปีหน้าอาจเพิ่มขึ้นมาอยู่ใกล้เคียงระดับ 28 ล้านคนตามแนวโน้มนักท่องเที่ยวจีนที่คาดว่าจะมีเพิ่มขึ้นมาก หากรัฐบาลจีนเริ่มผ่อนคลายมาตรการด้านพรมแดน

ด้านการบริโภคมีทิศทางฟื้นตัวดีขึ้นตามกิจกรรมทางเศรษฐกิจที่กลับมาใกล้เคียงปกติ แต่ยังมีความเสี่ยงจากแนวโน้มเงินเฟ้อที่ยังอยู่ในระดับสูง (7.6% ในเดือน ก.ค.) โดยเริ่มเห็นการเร่งตัวของราคาสินค้าทั่วไป (สินค้าหมวดพื้นฐาน) ขณะที่ค่าจ้างขั้นต่ำมีแนวโน้มปรับเพิ่มขึ้นในช่วงปลายปี ซึ่งจะส่งผลต่อต้นทุนแรงงาน ในภาคธุรกิจและการปรับขึ้นของราคาสินค้า ทั้งนี้จากผลสำรวจของ EIC (EIC Consumer Survey 2565) พบว่าครัวเรือนส่วนใหญ่มีปัญหารายได้ไม่พอรายจ่ายที่เพิ่มขึ้นจากภาวะเงินเฟ้อ และกว่าครึ่งหนึ่งมีปัญหาด้านการชำระหนี้ ซึ่งอาจได้รับผลกระทบเพิ่มเติมในภาวะดอกเบี้ยขาขึ้น

โดย EIC คาดว่า กนง. จะทยอยขึ้นดอกเบี้ยอย่างค่อยเป็นค่อยไปในการประชุมที่เหลืออีก 2 ครั้ง โดยดอกเบี้ยนโยบาย ณ สิ้นปีจะปรับขึ้นมาอยู่ที่ 1.25% จากสถานการณ์เงินเฟ้อที่มีแนวโน้มใกล้ผ่านจุดสูงสุด เงินบาทที่กลับมาแข็งค่า และภาวะเศรษฐกิจในกลุ่มเปราะบางที่ยังฟื้นตัวช้า โดยประเมินว่า กนง. เล็งเห็นความจำเป็นต้องเริ่มปรับขึ้นดอกเบี้ยนโยบายเพื่อควบคุมเงินเฟ้อคาดการณ์ให้อยู่ในกรอบเป้าหมาย และเพื่อให้สอดคล้องกับภาวะเศรษฐกิจในประเทศที่เริ่มฟื้นตัวชัดเจนขี้น

อย่างไรก็ดี การปรับขึ้นดอกเบี้ยจะเป็นไปอย่างค่อยเป็นค่อยไป โดย ปรับขึ้นรอบละ 0.25% ในการประชุม 2 รอบที่เหลือของปี เพื่อประคองสถานะทางเศรษฐกิจในกลุ่มเปราะบางไม่ให้ได้รับผลกระทบซ้ำซ้อนทั้งจากเงินเฟ้อ และภาระหนี้ที่จะเพิ่มขึ้นรวมถึงโอกาสทางรายได้ที่อาจถูกกระทบจากการปรับขึ้นดอกเบี้ย