IAA คาดหลายปัจจัย หนุน SET สิ้นปี 1494 จุด ปีหน้า 2568 แกว่งตัวในกรอบ 1365 ถึง 1634 จุด

0
27

นายสมบัติ นราวุฒิชัย เลขาธิการ สมาคมนักวิเคราะห์การลงทุน เปิดเผยผลการสำรวจความเห็นสมาชิกนักวิเคราะห์และผู้จัดการกองทุนรวม 24 สำนัก เกี่ยวกับมุมมองการลงทุนไตรมาส 4 ปี 2567 มีหลายปัจจัยที่เป็นบวกกับตลาดหุ้นไทยมากขึ้น  โดยเฉพาะ Fund Flows จากต่างประเทศที่เริ่มไหลกลับเข้ามาตลาดหุ้นไทยมากขึ้น จากการที่ธนาคารกลางสหรัฐ (FED) ปรับลดดอกเบี้ยลง 0.50% ทำให้เงินทุนเคลื่อนย้าย ประกอบเงินบาทที่แข็งค่าขึ้นอย่างรวดเร็ว ยิ่งส่งผลให้เม็ดเงินต่างชาติไหลเข้ามาในตลาดหุ้นไทย  และแนวโน้มที่ MSCI จะอัพเกรดหุ้นไทย ในเดือนพฤศจิกายนนี้

นอกจากนี้ ยังมีกองทุนวายุภักษ์จำนวน 1.5 แสนล้านบาท ที่เริ่มทยอยเข้าตลาดเมื่อ 1 ต.ค. กองทุน Thai ESG ที่มีการปรับปรุงเงื่อนไขให้น่าสนใจ และดึงดูดนักลงทุนให้เข้ามาซื้อหน่วยลงทุนมากขึ้น  โดยคาดว่าจะมีเม็ดเงินเข้ามาราว 2 หมื่นล้านบาท  รวมไปถึงมาตรการแจกเงิน 10,000 บาท ที่จะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจ  และผลประกอบการของบริษัทในตลาดหุ้นปี 2567 ที่มีแนวโน้มเติบโตดีขึ้น เป็นปัจจัยทำให้นักวิเคราะห์เพิ่มน้ำหนักการลงทุนในหุ้นไทยจาก 20% เป็น 32.22% และประเมิน SET สิ้นปี 2567 ขึ้นไปที่ 1,494 จุด  กำไรต่อหุ้น (EPS) อยู่ที่ 89.91 บาท

ทั้งนี้มีปัจจัยหนุนจากกระแสเงินทุนจากต่างชาติยังคงไหลเข้าตลาดหุ้นไทยอย่างต่อเนื่อง จากอานิสงส์แนวโน้มอัตราดอกเบี้ยขาลง และค่าเงินบาทที่ยังอยู่ในโซนแข็งค่าช่วง 32-33 บาท/ดอลลาร์สหรัฐ  โดยคาดว่าในปี 2568 จะแกว่งตัวในกรอบ 1365 ถึง 1634 จุด และปิดสิ้นปี 2568 ที่ 1,614 จุด 

โดยผลสำรวจเทคะแนนให้ Fund Flows จากต่างประเทศ  และกองทุนวายุภักษ์  100% เท่ากัน รองลงมา 96% โหวตให้มาตรการแจกเงิน 10,000 บาท และทิศทางอัตราดอกเบี้ยสหรัฐอเมริกา ตามมาด้วยผลประกอบการของ บจ.ปี67 ด้วยคะแนนโหวต 88% และภาวะเศรษฐกิจภายในประเทศ 72% ตามลำดับ

ขณะที่ปัจจัยลบ คือ  ปัจจัยด้านการเมืองในต่างประเทศ เป็น 64% รองลงมาทุกปัจจัยที่มีผลโหวตต่ำกว่า 50% ของจำนวนผู้โหวต เช่น การลดหรือยุติมาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณ (QE) ของประเทศสำคัญทั่วโลก 40% ตามมาด้วยปัจจัยด้านเศรษฐกิจโลก 36% ตามลำดับ  

โดยผลสำรวจอยู่สมมติฐานหลัก ดังนี้  

  • ราคาน้ำมันดิบเฉลี่ยของปีนี้ 79.50 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล 
  • คาดการณ์ การขยายตัวของ GDP ไทยปี 2567 จากเดิมที่ 2.64% (ก.ค.67) ลดลงมาเหลือ 2.62%  
  • สมมติฐาน GDP ปี 68 คาดว่าต่ำสุดที่ 2.4% และสูงสุดที่ 3.5% โดยมีค่าเฉลี่ยอยู่ที่ 3.01% 
  • Risk Free Rate ที่ใช้ในการประเมินมูลค่า มีค่าเฉลี่ยอยู่ที่ 2.65% 
  • Risk Premium ของตลาดหุ้น เฉลี่ยอยู่ที่ 7.76% 

ทั้งนี้นักวิเคราะห์ แนะนำให้กระจายพอร์ตการลงทุน แบ่งเป็น  เงินสดและเงินฝากระยะสั้น  6.43% / กองทุนตราสารหนี้  20.30%, หุ้นไทยหรือกองทุนหุ้นไทย  32.22%.  หุ้นหรือกองทุนหุ้นต่างประเทศ  23.65%. กองทุนอสังหาฯหรือ REIT 9.04%  และ ทองคำหรือกองทุนทองคำ  8.35% 

โดยความเห็นต่อการลงทุนหุ้นต่างประเทศ/กองทุนหุ้นต่างประเทศ แนะนำกองทุนหุ้นสหรัฐฯโดยเฉพาะกลุ่มเทคโนโลยี-AI และ Healthcare Selective Asia เช่น จีน อินเดีย เวียดนาม 

สำหรับทุนหุ้นไทย  แนะนำให้เพิ่มน้ำหนักการลงทุนในหมวดธุรกิจค้าปลีก Finance การท่องเที่ยว และเทคโนโลยี ในขณะที่ให้ลดน้ำหนักการลงทุนใน หมวดเกษตร ยานยนต์ พลังงานและปิโตรเคมี  โดยหุ้นที่นักวิเคราะห์แนะนำตรงกันตั้งแต่ 5 สำนักขึ้นไป มีดังนี้ 

AOT ได้แรงหนุนจากมาตรการกระตุ้นการท่องเที่ยว อีกทั้งผู้โดยสารระหว่างประเทศที่จะเพิ่มขึ้นใน 2 เดือนสุดท้ายของปี  

BDMS ได้ประโยชน์จากคนไข้ต่างชาติเพิ่มขึ้นและสังคมสูงวัยที่ใหญ่ขึ้น 

CPALL  ได้ประโยชน์จากการจับจ่ายใช้สอยที่ฟื้นตัวและได้อานิสงส์จากโครงการดิจิตอล Wallet เศรษฐกิจและการบริโภคฟื้นตัวจากเงินหมื่น 

GPSC โดยมองว่าได้แรงหนุนจากทิศทางดอกเบี้ยขาลง และ โครงการซื้อขายไฟฟ้าพลังงานสะอาดในรูปแบบการทำสัญญาซื้อขายพลังงานไฟฟ้าได้โดยตรง (Direct Power Purchase Agreement: Direct PPA) ที่จะดึงดูดต่างชาติเข้ามาลงทุน 

ส่วนหุ้นที่ควรหลีกเลี่ยง ได้แก่ หุ้นกลุ่มยานยนต์ยังไม่มีสัญญาณฟื้นตัวที่ชัดเจน หุ้นกลุ่มธนาคาร และส่งออกที่อาจย่อตัว หลังขึ้นมาแรงในช่วงก่อนหน้า 

นอกจากนี้ นักวิเคราะห์ได้เสนอไปถึงรัฐบาล  ให้เร่งลงทุนโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่ต่อยอด Tourism Province & Connects รวมทั้งการลงทุนภาครัฐที่หนุนศักยภาพการเติบโตทางเศรษฐกิจ สนับสนุนอุตสาหกรรม New S-Curve ให้เกิดขึ้นอย่างเป็นรูปธรรม  รวมไปถึงการช่วยเหลือภาคธุรกิจ ได้แก่ นโยบายสนับสนุนการท่องเที่ยว ดึงดูดการลงทุนต่างชาติ สนับสนุนโครงการลงทุนใหม่ๆ เช่น Entertainment Complex  มาตรการ soft loan และ refinance ให้ SMEs และการช่วยเหลือภาคประชาชน ได้แก่ การปรับโครงสร้างหนี้รายย่อย / ครัวเรือน มาตรการลดภาษี และสนับสนุนค่าเล่าเรียนเพื่อจูงใจคนรุ่นใหม่มีลูกเพิ่ม