KKP ชี้เศรษฐกิจโลกโตต่อ แนะลงทุนเต็มอัตรา ควบคู่ลดความเสี่ยง 

0
19

กลุ่มธุรกิจการเงินเกียรตินาคินภัทร (KKP) จัดงานสัมมนา KKP 2024 Mid Year Outlook Seminar: Surfing a Sea of Opportunities Amid Geopolitical Tides พาสำรวจการเลือกตั้งและภาพรวมเศรษฐกิจโลก พร้อมแนะกลยุทธ์การลงทุนในช่วงครึ่งปีหลัง 2567  

เศรษฐกิจโลกโตต่อ จับตาการเมืองสหรัฐฯ 

ดร.พิพัฒน์ เหลืองนฤมิตชัย หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์ กลุ่มธุรกิจการเงินเกียรตินาคินภัทร เปิดเผยว่า เศรษฐกิจโลกมีแนวโน้มโตต่อแม้ไม่ร้อนแรงเท่าปีก่อน และการเติบโตขยายวงกว้างมากขึ้น นำโดยสหรัฐฯ ที่ยังแข็งแกร่ง พร้อมอัตราเงินเฟ้อที่น่าจะทยอยลดลงได้อีก สร้างความมั่นใจให้ FED โดยคาดว่า FED จะลดดอกเบี้ยได้ 1-2 ครั้ง ในครึ่งหลังปี 2567  ขณะที่ยุโรปรอดพ้นจากภาวะเศรษฐกิจถดถอย และเห็นสัญญาณที่ดีขึ้นแม้จะไม่สดใสเท่าสหรัฐฯ และเงินเฟ้อมีแนวโน้มลดลงได้เช่นกัน  ในฝั่งประเทศตลาดเกิดใหม่ไม่รวมประเทศจีน (Emerging Markets ex China) ก็มีแนวโน้มที่เติบโตได้ดี ถึงมีความเสี่ยงเรื่องเงินเฟ้อที่อาจลงช้ากว่าคาด แต่น่าจะลดลงได้  

ขณะที่ความเสี่ยงต่อการเกิดภาวะเศรษฐกิจถดถอยลดลง แต่ต้องจับตาใกล้ชิดในช่วงครึ่งปีหลังในประเด็นการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ  ที่อาจนำมาซึ่งความไม่แน่นอนทั้งนโยบายของประเทศเศรษฐกิจหลัก และความเสี่ยงด้านภูมิรัฐศาสตร์ในมิติของนโยบายการค้าระหว่างประเทศ ที่จีนจะได้รับผลกระทบโดยตรง โดยเศรษฐกิจจีนยังได้รับผลกระทบจากปัญหาภายในที่ยังไม่ได้รับการแก้ไข ไม่ว่าภาคอสังหาฯ ที่ซบเซา ความเชื่อมั่นในการบริโภคที่ยังไม่ฟื้น และการขาดมาตรการกระตุ้น เมื่อประกอบกับความเสี่ยงเรื่องสงครามการค้าหลังการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ แนวโน้มตลาดหุ้นจีนจึงยังไม่น่าสนใจ 

แนะลงทุนเต็มอัตราควบคู่จำกัดความเสี่ยง (Grow-Protect) 

นายทวีศักดิ์ เผ่าพัลลภ หัวหน้าฝ่ายวิเคราะห์เศรษฐกิจและการลงทุน บล.เกียรตินาคินภัทร กล่าวว่าการเติบโตเศรษฐกิจโลกและสหรัฐฯยังไปต่อได้ แต่ความท้าทายด้านภูมิรัฐศาสตร์ที่เพิ่มขึ้นคาดเดาได้ยาก บล.เกียรตินาคินภัทรจึงแนะนำนักลงทุนควรจัดสรรการลงทุนอย่างรอบคอบ เน้นหุ้นคุณภาพสูง และการกระจายการลงทุนในพอร์ต โดยมีการลงทุนทั้งแบบเชิงรุก (Grow) และแบบจำกัดความเสี่ยง (Protect) ควบคู่กัน  

โดยการลงทุนเชิงรุก (Grow) สนใจหุ้นกลุ่มที่มีการเปลี่ยนแปลงตามวัฏจักรเศรษฐกิจ(Cyclical growth) ในกลุ่มประเทศตลาดเกิดใหม่ที่ไม่รวมจีน (Emerging Markets ex China) เนื่องจากวงจรเศรษฐกิจเอื้ออำนวยและโมเมนตัมกำไรแข็งแกร่ง และกลุ่มธุรกิจการเงิน (Financials) เนื่องจากรายได้ค่าธรรมเนียมและคุณภาพสินทรัพย์ที่มีแนวโน้มดีขึ้น ส่วนกลุ่มที่เหมาะกับการลงทุนในระยะยาวคือ หุ้นอินเดียและกลุ่มบริษัทด้านเทคโนโลยีที่เกี่ยวโยงกับห่วงโซ่อุปทานของ AI (AI Value Chain) นอกเหนือจากเซมิคอนดักเตอร์เนื่องจากการลงทุนด้าน AI ยังมีแนวโน้มเติบโตต่อ 

ส่วนการลงทุนเพื่อป้องกันความเสี่ยง (Protect) แนะนำลงทุนในตราสารหนี้โลกคุณภาพดี เพราะให้ผลตอบแทน (yield) สูงสุดในรอบกว่าทศวรรษ แต่จำกัดความเสี่ยงจากความผันผวนของ yield โดยเน้นการลงทุนที่อายุ 3-5 ปี นอกจากนั้น ความเสี่ยงยังไม่ถูกสะท้อนอยู่ในราคาหุ้นในตลาดทั้งหมด จึงควรลงทุนในอนุพันธ์ที่ป้องกันเงินต้น แต่ยังเปิดช่องให้รับ Upside อาทิ Principal Protected Note on S&P 500 Index หรือ Principal Protected Note on Dollar Index 

สำหรับการลงทุนแบบผสมผสาน (Grow/Protect) แนะนำการจัดสรรพอร์ตแบบ Prudent Asset Allocation และลงทุนในตลาดหุ้นสหรัฐฯ ซึ่งน่าจะทนทานที่สุดในกรณีที่มีสงครามการค้า นอกจากนั้น ธุรกิจที่มีลักษณะตั้งรับในตัวอย่างธุรกิจ สาธารณูปโภคและโครงสร้างพื้นฐาน ก็น่าสนใจ เพราะมีความทนทานต่อผลกระทบในทางลบ แต่ยังสามารถได้ประโยชน์จากพัฒนาการของ AI เช่นความต้องการใช้พลังงานที่มากขึ้นจาก data center  

ธีม AI ยังไปต่อได้

การลงทุนในหุ้นกลุ่ม AI  ยังมีแนวโน้มเติบโตต่อได้ เนื่องจากการลงทุนพัฒนายังอยู่ในช่วงเริ่มต้นและยังมีศักยภาพรอนำไปใช้ โดยจะได้เห็นการขยายการใช้งานไปยังกลางน้ำ-ปลายน้ำของห่วงโซ่อุปทานของ AI (AI Value Chain) ด้านการประเมินมูลค่าหุ้นไม่ถือว่าราคาถูกแต่ยังไม่แพงจนถึงระดับฟองสบู่ 

ลงทุนต่างประเทศแบบ unhedged 

สำหรับการลงทุนต่างประเทศ ความผันผวนของ Forex (Foreign Exchange) สูงในระยะสั้น แต่ระยะยาวไม่ได้เป็นปัจจัยหลักที่ส่งผลต่อผลตอบแทน ประกอบกับต้นทุนการป้องกันความเสี่ยงอัตราแลกเปลี่ยน (hedging cost) ค่อนข้างสูง การลงทุนต่างประเทศแบบเปิดรับความเสี่ยงค่าเงิน (unhedged) จึงน่าจะให้ผลตอบแทนในระดับสูงในต่างประเทศ  โดย บล.เกียรตินาคินภัทรคาดว่า hedging cost USD/THB จะมีแนวโน้มแพงไปอย่างน้อยอีก 2-3 ปี จากปัญหาโครงสร้างเศรษฐกิจของไทยที่ด้อยลง และเศรษฐกิจสหรัฐฯที่ค่อนข้างแข็งแกร่งจะทำให้ส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยเทียบกับสหรัฐฯน่าจะอยู่ในช่วง 2-3%   

ทั้งนี้ แนะนำลงทุนในกองทุนที่สอดคล้องกับกลยุทธ์ Grow and Protect ได้แก่ Mandate Service ของ KKP หรือกองทุน KKP-SGAA* กองทุน TUSFIN-A และกองทุน KKP EMXCN-UH*  

คำเตือน: การลงทุนมีความเสี่ยง ผู้ลงทุนควรทำความเข้าใจลักษณะสินค้าเงื่อนไขผลตอบแทน และความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุน หรือติดต่อขอรับข้อมูลเพิ่มเติมหรือหนังสือชี้ชวนได้ที่บลจ.ที่ออกกองทุนรวม  

KKP-SGAA*: https://am.kkpfg.com/th/mutual-fund/kkp-sg-aa   

TUSFIN-A: https://www.krungsrisecurities.com/ifund/main/fund_information/825cc4f3-6166-401f-9364-00634f4b713d   

KKP EMXCN-UH*: https://bank.kkpfg.com/en/personal-banking/investment/fund/kkp-emxcn-h   

*กองทุนนี้บริหารจัดการโดยบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน เกียรตินาคินภัทร จำกัด ซึ่งอยู่ในกลุ่มธุรกิจการเงินเกียรตินาคินภัทร