เคทีซีเปิดเวทีเสวนา KTC FIT Talk 13 “เศรษฐกิจปี 2568: โอกาสและความท้าทาย” วิเคราะห์แนวโน้มเศรษฐกิจ การรับมือความผันผวนและปัจจัยเสี่ยง เผยอุตสาหกรรมสินเชื่อผู้บริโภคมีโอกาสเติบโต
ดร. ศุภวุฒิ สายเชื้อ ประธานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เปิดเผยถึงภาพรวมเศรษฐกิจไทย ปี 2567 ว่าขยายตัวประมาณ 2.7% โดยไตรมาส 4 ขยายตัวถึง 4% จากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาล การท่องเที่ยวที่ฟื้นตัวต่อเนื่อง และการส่งออกขยายตัว ขณะที่ปี 2568 กองทุนการเงินระหว่างประเทศ (ไอเอ็มเอฟ) คาดการณ์จีดีพีไทยจะขยายตัวไปในทิศทางขาลงที่ 2.9% จากการชนะการเลือกตั้งของประธานาธิบดีทรัมป์ และความเสี่ยงของภูมิรัฐศาสตร์
อย่างไรก็ตาม ดร. ศุภวุฒิ มองว่า เศรษฐกิจไทยปี 2568 มีแนวโน้มขยายตัว 3% โดยโมเมนตัมจะดีในช่วงครึ่งปีแรก จากการเติบโตของภาคการท่องเที่ยวที่ฟื้นตัวต่อเนื่อง แรงกระตุ้นจากภาครัฐจะมีต่อเนื่องถึงกลางปี 2568 จากการแจกเงินก้อนสุดท้าย และการใช้จ่ายภาครัฐโดยรัฐบาลจะเร่งใช้งบลงทุนที่ค้างอยู่
ส่วนโมเมนตัมครึ่งปีหลังยังไม่แน่นอน จากนโยบายกีดกันทางการค้าสหรัฐฯของประธานาธิบดีทรัมป์ ที่อาจกระทบการส่งออก ซึ่งไทยส่งออกสินค้าประมาณ 50% ของจีดีพี โดยส่งออกไปสหรัฐฯเกือบ 10% ของจีดีพี อีกทั้งนโยบายด้านการคลังมีข้อจำกัดมากขึ้น ภาครัฐอาจต้องพิจารณาลดการขาดดุลงบประมาณ ส่งผลให้นโยบายการเงินมีบทบาทมากขึ้น โดยธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) อาจต้องพิจารณาลดอัตราดอกเบี้ยนโยบาย จากแรงกดดันจากเศรษฐกิจที่ฟื้นตัวไม่ต่อเนื่อง และนโยบายการเงินในช่วงที่ผ่านมาตึงตัวมากเกินไป หาก ธปท. ผ่อนคลายนโยบายการเงินช้าเกินไป กำลังซื้อในประเทศจะไม่แข็งแรงและเงินบาทจะแข็งค่าขึ้นอีกได้
ทั้งนี้ ตลาดคาดการณ์ว่า ธปท. จะลดดอกเบี้ยนโยบายลง 2 ครั้งในปี 2568 เพราะเงินเฟ้อต่ำมาก ขณะเดียวกัน ธปท. ยังคงส่งสัญญาณให้ธนาคารพาณิชย์เข้มงวดกับการปล่อยสินเชื่อใหม่ และธนาคารพาณิชย์คงต้องใช้เวลากับการแก้หนี้เสียที่ยังเหลืออยู่ไม่น้อย ดังนั้นแนวโน้มของการลดลงของสัดส่วนหนี้สินต่อรายได้ (Debt Deleveraging) ก็จะยังดำเนินต่อไปในปี 2568
นายอภิเชษฐ์ เกียรติวรคุณ ผู้อำนวยการ – การเงิน “เคทีซี” หรือ บริษัท บัตรกรุงไทย จำกัด (มหาชน) เปิดเผยถึงแนวโน้มเศรษฐกิจไทยปี 2568 ว่า มีแนวโน้มเติบโต 2.9% ท่ามกลางความไม่แน่นอนของนโยบายการค้าโลก โดยเฉพาะประเด็นการขึ้นภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ ที่อาจส่งผลกระทบต่อห่วงโซ่การผลิตและการส่งออกในภูมิภาค การที่สหรัฐฯ อาจขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าจากจีนเพิ่มอีก 60% และขึ้นภาษีทั่วไป 10% สำหรับประเทศอื่นๆ จะนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงในรูปแบบการค้าและการลงทุนระหว่างประเทศ ซึ่งไทยมีโอกาสได้รับประโยชน์ในระยะสั้น จากการย้ายฐานการผลิตของจีนมายังอาเซียน (China+1) แต่ระยะยาวอาจต้องเผชิญกับการแข่งขันที่รุนแรงขึ้น
โดยการเติบโตงสูงสุดจะอยู่ในช่วงไตรมาส 4/2567 และไตรมาส 1/2568 จากนโยบายการเงินที่ผ่อนคลาย โดยคาดว่าธปท.จะปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลงมาอยู่ที่1.50-2.00% สอดคล้องกับทิศทางทั่วโลก จากเงินเฟ้อที่ชะลอตัวและราคาพลังงานที่คาดว่าจะปรับลดลง การลงทุนจากต่างประเทศโดยเฉพาะในกลุ่มอิเล็กทรอนิกส์และดิจิทัลยังคงมีแนวโน้มเข้ามาต่อเนื่อง โดยอาเซียนเป็นศูนย์กลางการลงทุน รวมถึงการใช้จ่ายภาครัฐที่คาดว่าแข็งแกร่งในช่วงครึ่งปีแรกของ 2568
ภาคธุรกิจที่มีแนวโน้มเติบโต ได้แก่ ร้านอาหารและโรงแรม บริการสุขภาพที่ได้ประโยชน์จากสังคมผู้สูงอายุ และสถาบันการเงินที่มีการพัฒนานวัตกรรมทางการเงินและปรับตัวสู่ดิจิทัล โดยเฉพาะการพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่ช่วยให้ลูกค้าบริหารจัดการหนี้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
สำหรับอุตสาหกรรมสินเชื่อผู้บริโภคมีโอกาสเติบโตจากเศรษฐกิจที่จะเร่งตัวขึ้น และต้นทุนทางการเงินที่ลดลง เอื้อให้สถาบันการเงินนำเสนอผลิตภัณฑ์ที่แข่งขันได้มากขึ้น รวมถึงการนำเทคโนโลยีมาช่วยขยายการเข้าถึงบริการทางการเงิน อย่างไรก็ตามหนี้ครัวเรือนที่อยู่ในระดับสูงยังคงเป็นความท้าทาย ต้องบริหารความเสี่ยงอย่างรัดกุม และต้องปรับตัวต่อกฎระเบียบที่เข้มงวดขึ้นและการแข่งขันจากผู้ให้บริการเดิมและผู้เล่นใหม่
ทางด้านผลการดำเนินงานปี 2567 เคทีซีมีกำไรสุทธิ 5,549 ล้านบาท ในช่วง 9 เดือนแรก และคาดว่าสิ้นปีจะบรรลุเป้าหมายกำไรสุทธิ 7,295 ล้านบาท สำหรับปี 2568 ตั้งเป้ากำไรสุทธิเพิ่มขึ้น โดยพอร์ตสินเชื่อรวมคาดว่าจะเติบโต 4-5% พร้อมรักษาคุณภาพให้มีอัตราส่วนหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ หรือ NPL ไม่เกิน 2% เพิ่มยอดการใช้จ่ายผ่านบัตรเครดิต 10% ด้วยกลยุทธ์สร้างการมีส่วนร่วมกับลูกค้า และขยายผลิตภัณฑ์บัตรกดเงินสด “เคทีซี พราว” (KTC PROUD) เติบโต 3% และยอดลูกหนี้ใหม่ของสินเชื่อ “เคทีซี พี่เบิ้ม รถแลกเงิน” 3,000 ล้านบาท ด้วยโซลูชันการเงินเฉพาะบุคคลที่ตอบโจทย์ความต้องการของผู้บริโภค