นายระเฑียร ศรีมงคล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร “เคทีซี” หรือ บริษัท บัตรกรุงไทย จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า บอร์ดเคทีซี มีมติอนุมัติให้เคทีซีเข้าซื้อหุ้นสามัญของเคทีบี ลีสซิ่ง ธุรกิจเช่าซื้อรถยนต์ ในสัดส่วน 75.05% จากธนาคารกรุงไทย ด้วยมูลค่า 594.396 ล้านบาท เพื่อขยายธุรกิจและสร้างโอกาสสู่การเป็นผู้นำในธุรกิจสินเชื่อที่ครบวงจรเบ็ดเสร็จ ทั้งสินเชื่อมีหลักประกันและสินเชื่อไม่มีหลักประกัน โดยจะขอมติอนุมัติจากที่ประชุมผู้ถือหุ้นของบริษัทฯ ในเดือนเมษายน 2564
เหตุผลในการเข้าซื้อ “เคทีบี ลีสซิ่ง” เนื่องจากเป็นธุรกิจที่มีศักยภาพในการเติบโต มีสาขาบริการตั้งอยู่ในหัวเมืองหลักของทุกภูมิภาคในไทย และสามารถทำธุรกิจเช่าซื้อและลีสซิ่งทุกประเภท สร้างโอกาสให้เคทีซีสามารถแตกไลน์ธุรกิจสินเชื่อที่มีหลักประกันได้กว้างขวาง ครอบคลุมและครบวงจรมากขึ้น ต่อยอดจากสินเชื่อจำนำทะเบียนรถ “เคทีซี พี่เบิ้ม” เพื่อให้ทำธุรกรรมได้ครบวงจร ซึ่งเคทีซีได้เริ่มทำธุรกิจสินเชื่อมีหลักประกันเมื่อปลายปี 2563
“การเข้าลงทุนใน “เคทีบี ลีสซิ่ง” ทำให้บริษัทฯ ได้ฐานลูกค้าอีกกลุ่มหนึ่ง โดยเคทีซีมีจุดแข็งในการบริหารจัดการต้นทุน การบริหารคุณภาพพอร์ตลูกหนี้และการนำเทคโนโลยีเข้ามาใช้ในระบบปฏิบัติการต่างๆ ที่มีประสิทธิภาพ รวมถึงศักยภาพของทีมบริหาร บุคลากร และผู้แนะนำผลิตภัณฑ์ทางการเงินที่มีประสบการณ์ความเชี่ยวชาญในการทำธุรกิจ เอื้อให้พัฒนาองค์ความรู้ของทั้งสององค์กรเข้าด้วยกัน เพื่อให้ธุรกิจเติบโตแข็งแกร่งอย่างยั่งยืนในระยะยาว และสร้างผลตอบแทนที่น่าพอใจ”
สำหรับ “เคทีบี ลีสซิ่ง” เป็นบริษัทที่ดำเนินธุรกิจทางการเงิน เพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้าบุคคลธรรมดาและนิติบุคคล ด้วยประเภทบริการเช่าซื้อ (Hire Purchase) และบริการเช่าแบบลีสซิ่ง (Financial Lease) ได้แก่ 1. ลีสซิ่งสังหาริมทรัพย์สำหรับผู้ประกอบการ เช่น รถบรรทุก รถขุดและเครื่องจักร เป็นต้น 2. เช่าลีสซิ่งรถยนต์แบบดำเนินงาน หรือรถเช่าเพื่อประกอบกิจกรรมทางธุรกิจขององค์กรต่างๆ 3.การให้บริการเช่าซื้อรถยนต์ใหม่ บริการเช่าซื้อรถยนต์ใช้แล้วและบริการสินเชื่อรถหมุนเงิน (จำนำทะเบียนรถยนต์) 4. การให้สินเชื่อกับสินค้าอุปโภคทุกชนิด ไม่ว่าจะเป็นเครื่องใช้ไฟฟ้า อุปกรณ์ ไอที รถจักรยานยนต์หรือเครื่องประดับต่างๆ
ทางด้าน เคทีซีมีผลการดำเนินงานในปี 2563 (สิ้นสุดวันที่ 31 ธันวาคม 2563) กำไรสุทธิ 5,332 ล้านบาท เงินให้สินเชื่อแก่ลูกหนี้และดอกเบี้ยค้างรับรวมเท่ากับ 90,149 ล้านบาท NPL ต่อเงินให้สินเชื่อรวมเท่ากับ 1.8% ฐานสมาชิกรวม 3.4 ล้านบัญชี แบ่งเป็นธุรกิจบัตรเครดิต 2,575,684 บัตร สินเชื่อลูกหนี้บัตรเครดิตรวม 60,235 ล้านบาท NPL ต่อเงินให้สินเชื่อลูกหนี้บัตรเครดิต 1.3% ธุรกิจสินเชื่อบุคคลมีจำนวนทั้งสิ้น 814,329 บัญชี ยอด ลูกหนี้สินเชื่อบุคคลรวม 29,915 ล้านบาท NPL ต่อเงินให้สินเชื่อลูกหนี้สินเชื่อบุคคลเท่ากับ 2.7%