LHFG ปี 68 ขยายพอร์ตสินเชื่อ สร้างแบรนด์ LHB SME ชูจุดแข็ง CTBC Bank เข้าถึงฐานลูกค้าที่มีศักยภาพ

0
10

กลุ่มธุรกิจทางการเงินแลนด์ แอนด์ เฮ้าส์  พอใจผลการดำเนินงานปี 2567 ด้วยอัตราการเติบโต 7.3% ยอดสินทรัพย์ 346,863 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิ 2,047 ล้านบาท  แม้ธุรกิจหลักทรัพย์จะได้รับผลกระทบจากสภาวะตลาดทุนที่ผันผวนและซึมลงอย่างต่อเนื่อง  ชูกลยุทธ์ปี 2568 เดินหน้าขยายพอร์ตสินเชื่อ สร้างแบรนด์ LHB SME เตรียมเปิดสาขาอมตะซิตี้ ชลบุรี (Business Branch) ต้นไตรมาสที่ 2 ขยายช่องทางการให้บริการกลุ่มลูกค้าพื้นที่เศรษฐกิจ EEC 

นายวรวุฒน์ โตเจริญธนาผล President และหัวหน้ากลุ่มงานการเงินและบัญชี บริษัท แอล เอช ไฟแนนซ์เชียล กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ LHFG กล่าวถึงแผนธุรกิจในปี 2568 ว่า LHFG และบริษัทในกลุ่มธุรกิจทางการเงิน มุ่งมั่นที่จะเป็นสถาบันการเงินที่ให้บริการทางการเงินครบวงจร เติบโตอย่างยั่งยืน และมีธรรมาภิบาล เห็นได้จากผลการดำเนินงานที่โดดเด่น และรางวัลต่างๆที่ได้รับ เช่น ผลประเมินระดับดีเลิศด้านการกำกับดูแลกิจการประจำปี 2567, หุ้นยั่งยืน SET ESG Ratings, ESG100 Sustainability Disclosure Recognition และ Carbon Neutral Certificate

LH Bank แข็งแกร่ง กำไรเติบโต 18.7%

นายฉี ชิง-ฟู่ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการ ธนาคารแลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ จำกัด (มหาชน) หรือ LH Bank เปิดเผยผลการดำเนินงานปี 2567 ว่า มีกำไรสุทธิ 2,010 ล้านบาท เติบโต 18.7% เมื่อเทียบกับปี 2566  จากปัจจัยขับเคลื่อน เช่น การขยายตัวของสินเชื่อ รายได้ที่มิใช่ดอกเบี้ย และการควบคุมคุณภาพสินเชื่อที่เข้มงวด โดยสินเชื่อเติบโต 6.6% และสามารถรักษาสัดส่วนหนี้เสีย (NPL) ในระดับต่ำที่ 2.34% พร้อมตั้งสำรองหนี้สงสัยจะสูญอย่างระมัดระวัง ทำให้มีอัตราส่วนความคุ้มครองหนี้เสีย (NPL Coverage Ratio) สูงถึง 214%

โดยธนาคารประสบความสำเร็จในการขยายสินเชื่อกลุ่มลูกค้าธุรกิจไต้หวัน ด้วยอัตราการเติบโต 43% จากการสนับสนุนจาก CTBC Bank ธนาคารเอกชนอันดับ 1 ของไต้หวัน และเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ของกลุ่มธุรกิจทางการเงินแลนด์ แอนด์ เฮ้าส์  

สำหรับกลยุทธ์ปี 2568 ธนาคารเน้นขยายสินเชื่อธุรกิจและสินเชื่อ SME  ในกลุ่มอุตสาหกรรมเป้าหมายที่มีศักยภาพ รวมถึงบริการ Trade Finance และ FX เพื่อรองรับการลงทุนจากต่างประเทศ (FDI) โดยใช้ประโยชน์จากจุดแข็งของ CTBC Bank ในการเข้าถึงฐานลูกค้าที่มีศักยภาพ พร้อมนำเทคโนโลยีดิจิทัลมาพัฒนาผลิตภัณฑ์สินเชื่อและบริการทางการเงิน

นอกจากนี้ ยังให้ความสำคัญกับการสนับสนุนสินเชื่อ SME ผ่านการพัฒนา Product Program ที่ตอบสนองความต้องการของลูกค้า และสร้างการรับรู้ผลิตภัณฑ์สินเชื่อ SME ด้วยการโฆษณาประชาสัมพันธ์ผ่านสื่อและกิจกรรมต่างๆ รวมทั้งขยายช่องทางการให้บริการแก่กลุ่มลูกค้าในพื้นที่เศรษฐกิจ EEC ซึ่งเป็นศูนย์กลางการลงทุนและอุตสาหกรรมที่สำคัญของประเทศ โดยจะเปิดสาขาอมตะซิตี้ ชลบุรี (Business Branch) ในช่วงต้นไตรมาสที่ 2 ของปี 2568

ในส่วนของลูกค้ารายย่อย มุ่งเน้นการขยายตลาดสินเชื่อที่อยู่อาศัย การออกผลิตภัณฑ์เงินฝากใหม่ๆ เช่น เงินฝากอัตราดอกเบี้ยพิเศษสำหรับลูกค้า Wealth และเงินฝากสกุลเงินตราต่างประเทศ (FCD) รวมถึงการเพิ่มฐานลูกค้าผ่านกิจกรรมส่งเสริมการตลาดและ Ecosystem ของพันธมิตร

ทั้งนี้ธนาคารให้ความสำคัญกับการดำเนินธุรกิจอย่างยั่งยืน (Sustainable Banking) โดยมีแผนสนับสนุนการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกของลูกค้าผ่านการสนับสนุนสินเชื่อเพื่อสิ่งแวดล้อม และสินเชื่อเพื่อเปลี่ยนผ่านสู่ธุรกิจสีเขียว โดยร่วมมือกับพันธมิตรและบริษัทที่ปรึกษาชั้นนำด้านสิ่งแวดล้อม

LH Fund โชว์ AUM ปี 2567 โต 15%

นายมนรัฐ ผดุงสิทธิ์ กรรมการผู้อำนวยการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน แลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ จำกัด หรือ LH Fund กล่าวว่า ปี 2568 บริษัทมุ่งมั่นที่จะยกระดับมาตรฐานสู่การเป็นบริษัทหลักทรัพย์ จัดการกองทุนชั้นนำ โดยชูกองทุนเรือธงที่มีจุดเด่นด้านผลการดำเนินงาน พร้อมเน้นการลงทุนที่ยั่งยืนและยืดหยุ่นรองรับทุกสภาวะตลาด และรักษาคุณภาพของผลการดำเนินงานของกองทุนให้อยู่ในระดับสูงอย่างต่อเนื่อง เพื่อสร้างความเชื่อมั่นและตอบโจทย์เป้าหมายทางการเงินของนักลงทุน

โดย LH Fund จะคัดสรรกองทุนที่มีผลการดำเนินงานยอดเยี่ยม (Best-in-Class) ทั้งกองทุนรูปแบบ Feeder Fund และกองทุนที่ลงทุนตรงในหุ้นต่างประเทศ พร้อมกลยุทธ์ใหม่ในการลงทุนสู่โลกยุคเศรษฐกิจใหม่ (New Economy) เพื่อเพิ่มโอกาสการเติบโตให้กับนักลงทุน และเตรียม IPO กองทุนหุ้นและกองทุนตราสารหนี้ที่ตอบโจทย์การเปลี่ยนแปลงของโลกจากระบบเศรษฐกิจแบบโลกาภิวัตน์สู่ระบบเศรษฐกิจหลายขั้ว (Multi-polar Model) รวมทั้งเพิ่มความหลากหลายของผลิตภัณฑ์ด้วยกองทุนที่เชื่อมโยงกับดัชนีความผันผวน (Volatility Index) เพื่อตอบโจทย์นักลงทุนในทุกสถานการณ์ตลาด

สำหรับกองทุนส่วนบุคคลจะขยายฐานลูกค้าด้วยการออกแบบผลิตภัณฑ์และบริการการลงทุนที่ตอบโจทย์เฉพาะราย ในส่วนของกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ (PVD) บริษัทได้พัฒนาระบบ Life Path อย่างต่อเนื่อง ช่วยปรับพอร์ตการลงทุนของสมาชิกโดยอัตโนมัติตลอดระยะเวลาการเป็นสมาชิก PVD สำหรับกองทรัสต์เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ (REITs) มีแผนเพิ่มมูลค่าทรัพย์สินผ่านการเติบโตแบบ organic และ inorganic growths และมีแผนซื้อทรัพย์สินใหม่ควบคู่กับการปรับทรัพย์สินในพอร์ตเพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มให้แก่นักลงทุนอย่างยั่งยืน

ทั้งนี้ผลการบริหารจัดการกองทุนปี 2567 บริษัทมีมูลค่าสินทรัพย์สุทธิภายใต้การบริหารจัดการ (AUM) นับรวมกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์และทรัสต์เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ (REITs) รวม 63,992 ล้านบาท เพิ่มขึ้นประมาณร้อยละ 15 จากปี 2566 สำหรับกองทุนส่วนบุคคล (Private Fund) มีขนาดกองทุนอยู่ที่ 14,152 ล้านบาท และกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ (PVD) มีขนาดกองทุนอยู่ที่ 9,641 ล้านบาท

หลักทรัพย์ LH รุกสร้าง Passive income 

ทดแทนรายได้ค่านายหน้า

นายกานต์ อรรถธรรมสุนทร กรรมการผู้อำนวยการ บริษัทหลักทรัพย์ แลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ จำกัด (มหาชน) หรือ (LH Securities) กล่าวว่า ปี 2567 เป็นปีที่ยากลำบากสำหรับธุรกิจหลักทรัพย์ จากภาวะตลาดหุ้นไทยที่ผันผวนในลักษณะซึมลงอย่างต่อเนื่อง โดยดัชนีตลาดหลักทรัพย์ ปิดตลาดที่ 1,400.21 จุด ลดลง 1.1% ซึ่งเป็นการปรับลดลง 2 ปีติดต่อกันเป็นครั้งแรกในรอบกว่า 2 ทศวรรษ มีแรงเทขายของนักลงทุนต่างชาติเป็นตัวกดดันหลัก โดยขายสุทธิถึง 1.47 แสนล้านบาท ด้วยมูลค่าการซื้อขายที่มีสัดส่วนสูงถึง 50% ของมูลค่าการซื้อขายทั้งหมด ทั้งนี้มูลค่าการซื้อขายหลักทรัพย์เฉลี่ยต่อวันที่ 46,550  ล้านบาท ลดลงจากปีก่อน13%

โดยปี 2567 บริษัทได้เพิ่มบริการด้านที่ปรึกษาการลงทุน เพื่อเพิ่มรายได้ค่าธรรมเนียมการจัดจำหน่ายหลักทรัพย์และที่ปรึกษาการลงทุนเพื่อทดแทนรายได้ค่านายหน้าที่ลดลง และพัฒนาช่องทางบริการโดยเชื่อมต่อกับแอปพลิเคชัน LHB YOU ของธนาคารแลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ เพื่อให้ลูกค้าได้รับบริการที่สะดวก และรวดเร็ว

ทั้งนี้ผลการดำเนินงานปี 2567 มีรายได้ค่านายหน้า 101.3 ล้านบาท ลดลง 23% เมื่อเทียบกับปี 2566 จากการหดตัวลงของปริมาณการซื้อขายของตลาดหุ้นไทย ซึ่งกระทบกับรายได้ค่านายหน้าทั้งอุตสาหกรรม

สำหรับกลยุทธ์ปี 2568 บริษัทเน้นสร้าง Passive income จากธุรกิจอื่นที่มิใช่รายได้ค่าหน้านาย เช่น รายได้ดอกเบี้ยจาก Margin Loan รายได้เงินปันผลรับ และรายได้จากค่าธรรมเนียมการจัดจำหน่ายหลักทรัพย์และ  ที่ปรึกษาการลงทุน รวมถึงพัฒนาด้านระบบเทคโนโลยี เพื่อเพิ่มจำนวนลูกค้าและเพิ่มการมีส่วนร่วม (Engagement) ของลูกค้าเดิมจากบริการที่สะดวกรวดเร็วและปลอดภัย พร้อมกับการบริหารต้นทุนอย่างมีประสิทธิภาพ