LHFG โชว์กำไรครึ่งปีแรก 2566 โต 61.3% ปั้นTrade Finance-Digital Lending ลุยครึ่งปีหลัง

0
124

LHFG คงแผนยุทธศาสตร์ปี 2566 มั่นใจครึ่งปีหลังโตต่อเนื่อง คงเป้าสินเชื่อรวมโต 8-10% เน้นสร้างพอร์ตสินเชื่อกลุ่ม Higher Yield พร้อมรุกบริการ Digital Lending ปล่อยสินเชื่อผ่าน  LHB You Mobile banking หวังเป้าสิ้นปีพอร์ตสินเชื่อบุคคลแตะ 1,000 ล้านบาท   

นายฉี ชิง-ฟู่ กรรมการผู้จัดการ บริษัท แอล เอช ไฟแนนซ์เชียล กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ LHFG เปิดเผยว่า ภาวะเศรษฐกิจที่ฟื้นตัวต่อเนื่องส่งผลให้ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคและดัชนีความเชื่อมั่นทางธุรกิจปรับตัวเพิ่มขึ้น ซึ่งLHFG ได้นำเสนอผลิตภัณฑ์ทางการเงินและการลงทุนใหม่ๆ อีกทั้งการสนับสนุนจาก CTBC Bank ผู้ถือหุ้นใหญ่ ส่งผลให้ผลการดำเนินงานของ LHFG เติบโตได้ดี  โดยครึ่งปีแรก 2566 มีสินทรัพย์สุทธิ 292,572 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 6.7% กำไรจากการดำเนินงานสุทธิ 1,201.9 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 61.3% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน

นอกจากนี้ ยังให้ความสำคัญกับการเติบโตอย่างยั่งยืน Sustainable Banking การดำเนินธุรกิจอย่างมีสำนึก และมีส่วนช่วยรับผิดชอบต่อสิ่งแวดล้อม สังคม และ หลักธรรมาภิบาลที่ดี การออกผลิตภัณฑ์ที่สนับสนุนสิ่งแวดล้อม และการช่วยเหลือลูกหนี้ที่ได้รับผลกระทบจากโควิด-19 และภาวะเศรษฐกิจ

นางสาวชมภูนุช ปฐมพร ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการ ธนาคารแลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ จำกัด (มหาชน) หรือ LH Bank เปิดเผยถึงผลการดำเนินงานของธนาคารช่วงครึ่งปีแรกปี 2566 ว่าเป็นไปตามแผน ที่มุ่งเติบโตในพอร์ตสินเชื่อที่สร้างผลตอบแทนที่ดีขึ้นหรือกลุ่ม Higher Yield  โดยคงเป้าสินเชื่อรวมเติบโต 8-10%  โดยครึ่งปีแรกเติบโต 4.8% จากการขยายสัดส่วนสินเชื่อรายย่อย ทั้งสินเชื่อที่อยู่อาศัยและสินเชื่อบุคคล  โดยขยายฐานลูกค้ารายย่อยผ่านช่องทางดิจิทัลโดย Mobile Application LHB YOU ที่จะเปิดให้บริการอย่างเป็นทางการเร็วๆนี้ คาดว่าภายในสิ้นปีจะปล่อยสินเชื่อบุคคลได้ราว 1,000 ล้านบาท  

“ปัจจุบันธนาคารมียอดปล่อยสินเชื่อผ่านช่องทางดิจิทัลแล้วราว 100 ล้านบาท  และมั่นใจว่าสิ้นปี จะมียอดปล่อยสินเชื่อแตะ 1,000 ล้านบาท โดยธนาคารมีแผนระยะ 3 ปี (2566-2568) จะขยายการเข้าถึง Digital จากวันนี้ 67% ขยับขึ้นไปที่  70-80% จากยอดผู้สมัครใช้ LHB YOU ปัจจุบัน 30,000 ราย คาดว่าสิ้นปีจะเพิ่มเป็น  70,000 ราย และภายใน 2569 เติบโตถึง 500,000 ราย”

สำหรับลูกค้าธุรกิจ มุ่งเน้นให้ลูกค้าใช้ LH Bank เป็น Operating Bank มากขึ้น พร้อมสนับสนุนกลุ่มลูกค้า SME ที่กำลังขยายธุรกิจโดยเฉพาะในพื้นที่เขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EEC)  โดยนำความเชี่ยวชาญจาก CTBC Bank มาพัฒนาและต่อยอด Trade Finance และ Global Markets เพื่อรองรับการเติบโตในอนาคต และเสริมสร้างความแข็งแกร่ง Digital Transformation และการนำระบบ Robotic Process Automation มาเพิ่มประสิทธิภาพการทำงาน และนำ Data analytic tools ต่างๆ มาใช้งานในการขยายฐานลูกค้า

โดยครึ่งปีแรกธนาคารมีกำไรจากการดำเนินงานสุทธิ 943.6 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 119% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน จากการเติบโตของรายได้ดอกเบี้ย 15.5%  จากการควบคุมและบริหารต้นทุน ค่าใช้จ่าย และบริหารความเสี่ยงได้ดี  และการตั้งสำรองค่าใช้จ่ายผลขาดทุนด้านเครดิต 1,011 ล้านบาท ลดลงจากปีก่อน 24%  

นายมนรัฐ ผดุงสิทธิ์ กรรมการผู้อำนวยการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน แลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ จำกัด หรือ LH Fund เปิดเผยถึงกลยุทธ์ครึ่งหลังปี 2566 ว่า ยังคงเน้นการขยายฐานลูกค้ากองทุนส่วนบุคคล ทั้งสถาบันและลูกค้ารายใหญ่พิเศษ (Ultra High Net Worth) โดยในครึ่งปีแรกได้ปรับการดำเนินการบริหารกองทุน ปรับเปลี่ยนกองทุนหลัก (Master Fund) ให้สอดคล้องกับสภาวะตลาด ขณะที่กองทุนหุ้นไทยและกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์/REIT ผลการดำเนินงานดีต่อเนื่อง สำหรับกองทุนสำรองเลี้ยงชีพอยู่ระหว่างการพัฒนาระบบเพื่อบริการสมาชิกในรูปแบบ Target Date (Life Path) หรือการลงทุนที่ปรับเปลี่ยนสัดส่วนการลงทุนแบบอัตโนมัติ

นอกจากนี้ยังมีแผนเพิ่มการประกอบธุรกิจทรัสตี ซึ่งปัจจุบันบริษัทปฏิบัติหน้าที่ทรัสตีของทรัสต์เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ โดยเพิ่มการประกอบธุรกิจทรัสตีของทรัสต์เพื่อกิจการเงินร่วมลงทุน (Private Equity Trust) ทรัสต์เพื่อการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐาน (Infrastructure Trust) และทรัสต์สำหรับธุรกรรมการเสนอขายโทเคนดิจิทัลที่อ้างอิงกระแสรายรับจากอสังหาริมทรัพย์ (Trust for Real Estate – Backed ICO)

นายกานต์ อรรถธรรมสุนทร กรรมการผู้อำนวยการ บริษัทหลักทรัพย์ แลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ จำกัด (มหาชน) หรือ LH Securities กล่าวถึงผลการดำเนินงานครึ่งปีแรกว่า มีรายได้ 296.1 ล้านบาท ลดลง 6.4% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ตามปริมาณการซื้อขายที่ซบเซาเมื่อเทียบกับฐานที่สูงในปี 2565 โดยดัชนีตลาดหุ้นไทย ณ สิ้นเดือนมิถุนายน 2566 ปิดที่ 1,503.10 จุด ด้วยมูลค่าการซื้อขายเฉลี่ยต่อวันที่ลดลงมากถึง 33% อย่างไรก็ดีบริษัทยังมีรายได้ดอกเบี้ยรับและเงินปันผลรวม 224 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 14% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ส่งผลให้มีกำไรสุทธิ 88.4 ล้านบาท