บริษัท ไมเนอร์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (มหาชน) (MINT) สร้างผลงานแข็งแกร่งที่สุดนับตั้งแต่ก่อตั้งบริษัท โดยมีกำไรสุทธิเพิ่มขึ้น 43% เมื่อเทียบกับปี 2567 ที่ 7,750 ล้านบาท สะท้อนความสำเร็จในการเพิ่มประสิทธิการดำเนินงาน จากโมเดลธุรกิจที่ลดการลงทุนในสินทรัพย์ถาวร (Asset-light Model) วินัยทางการเงินผ่านการลดหนี้ และความต้องการเดินทางทั่วโลกที่ยังคงเติบโตต่อเนื่อง
นายดิลิป ราชากาเรีย ประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่ม MINT เปิดเผยว่า ผลการดำเนินงานที่เติบโตเป็นประวัติการณ์ ตอกย้ำความแข็งแกร่งของโมเดลธุรกิจและกลยุทธ์การดำเนินงาน ด้วยฐานะทางการเงินที่แข็งแกร่งขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ โดยใช้ประโยชน์จากแนวโน้มการท่องเที่ยวทั่วโลก ขยายโมเดลธุรกิจ Asset-light Model และขับเคลื่อนการสร้างสรรค์นวัตกรรมในธุรกิจโรงแรมและร้านอาหาร โดยมุ่งเน้นไปที่การสร้างกำไรที่ยั่งยืนและเพิ่มมูลค่าให้แก่ผู้ถือหุ้นในระยะยาว
ทั้งนี้การเติบโตของรายได้เฉลี่ยต่อห้องต่อคืนและการขยายตัวของตลาด ควบคู่ไปกับผลการดำเนินงานที่แข็งแกร่งของธุรกิจร้านอาหารที่ได้รับแรงหนุนจากนวัตกรรมของแบรนด์และจำนวนลูกค้าที่เพิ่มมากขึ้น สร้างความแข็งแกร่งต่อเนื่องในธุรกิจโรงแรม ส่งผลให้มีกำไรสุทธิในไตรมาส 4 ปี 2567 เพิ่มขึ้น 269% เมื่อเทียบกับปีก่อน อยู่ที่ 3,632 ล้านบาท ซึ่งเป็นการวางรากฐานสำหรับการเติบโตอย่างแข็งแกร่ง และพร้อมที่จะเร่งการเติบโตในปี 2568 และต่อเนื่องไปในอนาคต
ธุรกิจโรงแรม: รายได้เฉลี่ยต่อห้องต่อคืนเติบโตแข็งแกร่ง
ธุรกิจโรงแรมของ MINT ยังคงเติบโตอย่างแข็งแกร่ง โดยได้รับประโยชน์จากการฟื้นตัวของการเดินทางทั่วโลกและการดำเนินการเชิงกลยุทธ์ที่ประสบความสำเร็จในตลาดสำคัญ ดังนี้
- ยุโรปและอเมริกา: รายได้เฉลี่ยต่อห้องต่อคืนเพิ่มขึ้นร้อยละ 9 เมื่อเทียบกับปีก่อน นำโดยราคาห้องพักเฉลี่ยที่เพิ่มขึ้นร้อยละ 6 ซึ่งได้รับแรงหนุนจากวินัยด้านการกำหนดราคาและการเดินทางในภูมิภาคที่สม่ำเสมอ โดยสเปนเป็นประเทศที่มีผลงานการเติบโตดีที่สุด รองลงมาคือยุโรปกลาง เบเนลักซ์ และอิตาลี
- ประเทศไทย: รายได้เฉลี่ยต่อห้องต่อคืนพุ่งสูงขึ้นร้อยละ 17 เมื่อเทียบกับปีก่อน โดยได้รับแรงหนุนจากจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติที่เพิ่มขึ้น การขยายเส้นทางการบิน และกลยุทธ์การขายแบบกำหนดเป้าหมายที่ดึงดูดนักเดินทางคุณภาพสูงจากสหรัฐอเมริกา ยุโรป และเอเชีย
โดยในปี 2567 เปิดโรงแรมใหม่ 30 แห่ง มีห้องพักกว่า 3,000 ภายใต้โมเดลธุรกิจ Asset-light Model ส่งผลให้ MINT มีฐานการดำเนินงานที่แข็งแกร่งในเมืองสำคัญต่างๆ ทั่วทวีปเอเชีย ตะวันออกกลาง ยุโรป และโอเชียเนีย โดยการเปิดตัวโรงแรมครั้งสำคัญ ได้แก่ โรงแรม NH Collection Helsinki Grand Hansa ในประเทศฟินแลนด์ โรงแรม Anantara Stanley & Livingstone Victoria Falls ในประเทศซิมบับเว และ Anantara Jewel Bagh Jaipur Hotel ในรัฐราชสถาน ประเทศอินเดีย สร้างความเป็นผู้นำในตลาดใหม่ๆที่มีอัตราการเติบโตสูง
ธุรกิจร้านอาหาร: นวัตกรรมและแฟรนไชส์ขับเคลื่อนการเติบโต
ไมเนอร์ ฟู้ด มุ่งมั่นพัฒนานวัตกรรมและแนวคิดที่ขับเคลื่อนโดยผู้บริโภค นำไปสู่การเปิดตัวแบรนด์และรูปแบบร้านค้าใหม่ๆ ที่ประสบความสำเร็จ เช่น ร้าน สเต็ก แอนด์ มอร์ (ประเทศไทย) ซึ่งเป็นตัวเลือกการรับประทานอาหารระดับพรีเมียมในราคาที่เข้าถึงได้ และร้าน แบทเทอร์แคช (สิงคโปร์) ซึ่งเป็นแนวคิดร้านฟิชแอนด์ชิปส์สมัยใหม่ที่ดึงดูดผู้บริโภคในเมือง
ขณะเดียวกัน ไมเนอร์ ฟู้ด เร่งการขยายธุรกิจด้วย Asset-light Model ผ่านความสำเร็จของการขายแฟรนไชส์ทรัพย์สินทางปัญญาระดับโลกที่บริษัทเป็นเจ้าของ เช่น เบนิฮานา, ซิซซ์เล่อร์ และกาก้า โดยมีการเปิดร้านเบนิฮานาที่กรุงปารีส การเปิดสาขาซิซซ์เล่อร์หลายแห่งในประเทศญี่ปุ่นและเวียดนาม และการขยายสาขาร้านกาก้าทั่วประเทศไทย
ในปี 2567 ไมเนอร์ ฟู๊ด จึงเติบโตอย่างแข็งแกร่ง โดยมียอดขายโดยรวมทุกสาขา (TSS) ในประเทศไทยเพิ่มขึ้นร้อยละ 8 และสิงคโปร์มียอดขายรวมเติบโตขึ้นร้อยละ 12 จากการขยายตัวของยอดขายต่อร้านเดิมและจำนวนสาขาที่เพิ่มขึ้น
ฐานะการเงินที่แข็งแกร่งเร่งการเติบโต
ความมุ่งมั่นในการรักษาวินัยทางการเงินช่วยลดภาระหนี้ได้อย่างมีนัยสำคัญ โดยสามารถบรรลุเป้าหมายดังต่อไปนี้
- อัตราส่วนหนี้สินที่มีภาระดอกเบี้ยสุทธิต่อส่วนของผู้ถือหุ้นปรับตัวดีขึ้นจาก 1.0 เท่าในปี 2566 เป็น 0.8 เท่าในปี 2567
- อัตราส่วนหนี้สินที่มีภาระดอกเบี้ยสุทธิต่อกำไรก่อนหักดอกเบี้ยจ่าย ภาษีและค่าเสื่อมลดลงจาก 4.9 เท่าเป็น 4.3 เท่า
โดยสามารถลดภาระหนี้สินจำนวน 1 หมื่นล้านบาท ในปี 2567 ช่วยเพิ่มความยืดหยุ่นทางการเงิน ลดค่าใช้จ่ายดอกเบี้ย และเพิ่มศักยภาพในการสนับสนุนโครงการเติบโตที่ให้ผลตอบแทนสูง
อนาคต..เส้นทางสู่การสร้างมูลค่าเพิ่ม
นายดิลิป กล่าวว่า Mint พร้อมก้าวสู่ปี 2568 ด้วยความแข็งแกร่ง จากการท่องเที่ยวทั่วโลกที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะประเทศไทยที่จะได้อานิสงฆ์จากซีรีส์ The White Lotus ซีซั่น 3 ซึ่งถ่ายทำที่โรงแรมในสมุย และภูเก็ต โดยล่าสุด ซีรีส์ยังไม่ออนแอร์ แต่อัตราค่าห้องพักเพิ่มขึ้นกว่า 40% ไปแล้ว
นอกจากนี้ ยังอยู่ระหว่างการเตรียมความพร้อมในการเปิดตัวโรงแรมใหม่อีกกว่า 50 แห่ง ทั้งในสิงคโปร์ ญี่ปุ่น และซาอุดีอาระเบีย เพื่อขยายการดำเนินงานในตลาดสำคัญที่มีการเติบโตสูง ตลอดจนการเติบโตของร้านอาหารผ่านนวัตกรรมของแบรนด์ การปรับรูปแบบร้านค้าให้มีความหลากหลาย รวมไปถึงการขยายแฟรนไชส์ โดยคาดว่ารายได้ในปี 2568 จะเติบโตราว 6-8%
โดยแผนงานเชิงกลยุทธ์ ปี 2567–2570 ตั้งเป้าหมายไว้ว่า
- อัตราการเติบโตของรายได้ต่อปีแบบทบต้น (CAGR) ที่ร้อยละ 6-8
- การเติบโตของกำไรสุทธิจากการดำเนินงานที่ร้อยละ 15-20
- อัตราผลตอบแทนต่อเงินลงทุนมากกว่าร้อยละ 12
- การขยายกลุ่มธุรกิจทั่วโลกสู่โรงแรม 850 แห่งและร้านอาหาร 4,000 แห่งภายในปี 2570