PTG ปลื้มยอดขายน้ำมันปี 65 สูงสุดเป็นประวัติการณ์ 5,316 ล้านลิตร วางโรดแมป 5 ปี “Drive for Tomorrow” รุกขยาย Oil & Non-Oil เติบโตยั่งยืนทุกมิติ ทุ่ม 6,000 ล้าน เพิ่มปั๊มเป็น 2,406 แห่ง กาแฟ “พันธุ์ไทย” 5,000 สาขา มี Retail Oil Market Share กว่า 25% สมาชิก Max Card กว่า 30 ล้านสมาชิก พร้อมยกระดับบริการผ่าน PT Service Master ตอบโจทย์ลูกค้า “อยู่ดี มีสุข”
นายพิทักษ์ รัชกิจประการ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท พีทีจี เอ็นเนอยี จำกัด (มหาชน) หรือ PTG เปิดเผยถึงแผนการดำเนินธุรกิจใน 5 ปีข้างหน้า “PTG Business Outlook : Drive for Tomorrow” ว่า ตั้งเป้าหมายจะมี Retail Oil Market Share 25% มีสมาชิก Max Card กว่า 30 ล้านสมาชิก ครอบคลุมคนไทยทั่วประเทศ มีสาขากาแฟพันธุ์ไทยกว่า 5,000 สาขา รวมทั้งพัฒนาและมุ่งหาธุรกิจใหม่ ๆ เพื่อใช้ประโยชน์จากระบบนิเวศของ PTG สร้างประสบการณ์ O2O ที่ไร้รอยต่อ โดยใช้ Data เพื่อให้เกิด End-to-End Personalization ที่ตรงกับความต้องการของลูกค้า และเป้าหมายสูงสุดของเราที่ต้องการให้ลูกค้า “อยู่ดี มีสุข”
โดยมีแผนที่จะยกระดับสถานีบริการน้ำมัน PT ใน 3 มิติ ประกอบด้วย
1. Expansion and Renovation เดินหน้าขยายสาขาทั้งหมดปีนี้สู่ 2,206 สาขา
2. Service Innovation ยกระดับการให้บริการ ประกอบด้วย
-PT Service Master ที่พร้อมให้คำแนะนำลูกค้าเพื่อสิทธิประโยชน์สูงสุด ปัจจุบันมีพนักงาน 200 กว่าคน โดยจะเพิ่มเป็น 2,500 คน ในอีก 5 ปี
-Max Camp ให้ลูกค้าเข้าพักผ่อนระหว่างการเดินทาง โดยให้บริการฟรีสำหรับสมาชิก Max Card ด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกครบครัน ทั้งห้องอาบน้ำ เตียงนอน ทีวี เครื่องซักผ้า ที่ให้บริการตลอด 24 ชั่วโมง ปัจจุบันมีให้บริการใน 64 สถานี โดยจะขยายเป็น 141 สถานี ภายในปี 2570 เพื่อรองรับฐานสมาชิก Max Card จากปัจจุบัน 19 ล้านสมาชิก จะขยายเป็น 30 ล้านสมาชิก
3. Data Optimization รวบรวมความต้องการของกลุ่มลูกค้าต่าง ๆ ผ่านทางฐานสมาชิก Max Card, Max Card Plus, Max Me และ Max Enterprise Connect เพื่อนำเสนอ Data-Driven Offerings and Promotions ให้ตรงความต้องการลูกค้ามากที่สุด
“ Max Card และ Max Card Plus คือเครื่องมือในการวิเคราะห์พฤติกรรมลูกค้า ในการเพิ่มยอดขาย เพิ่มความถี่ของการเข้ามาใช้บริการธุรกิจในเครือ โดยมีเครื่องมือ Max Me ที่เป็น Application และ e-Wallet ที่จะช่วยต่อยอดฐานสมาชิกในโลกออนไลน์ โดยคาดว่าภายในปีนี้ลูกค้าจะสามารถชำระเงินผ่าน Max Me กับ Partner ของกว่า 1 ล้าน Touchpoints อีกทั้งยังมีบริการสินค้าดิจิทัล Financing และ Lifestyle ที่จะมาเชื่อมต่อกับ Max Me อีกด้วย”
“นอกจากนี้ ยังมีการใช้ Digital Platform เพื่อตอบโจทย์ B2B ได้แก่ Max Enterprise Connect ซึ่งเป็น Fuel Management Platform ที่ช่วยในการบริหารต้นทุนน้ำมันอย่างมีประสิทธิภาพ แก้ปัญหาได้ตรงจุด และลดความยุ่งยากที่เกี่ยวกับเอกสาร เหมาะสำหรับผู้ประกอบการและองค์กรธุรกิจทุกขนาด โดยที่สามารถดู Real Time Data ได้ตลอด 24 ชม. และเราสามารถเชื่อมต่อ Microservices เพื่อเพิ่มสิทธิประโยชน์สำหรับองค์กรได้ในอนาคต”
สำหรับปี 2565 นอกจากยอดจำหน่ายน้ำมันสูงสุดเป็นประวัติการณ์ จำนวน 5,316 ล้านลิตร เติบโต 5.9% จากช่วงเดียวกันกับปีก่อน โดย6.5% มาจากช่องทางการค้าปลีกผ่านสถานีบริการแล้ว ยังได้เปิดตัวสถานีบริการน้ำมัน PT ครบวงจร (PT Max Park Salaya) ซึ่งเป็น Flagship รูปแบบแรกที่ได้รับการออกแบบให้มีความทันสมัย ติดตั้งหัวจ่ายน้ำมันระบบดิจิทัล พร้อมทั้งจัดให้มีพนักงาน PT Service Master เข้ามาอำนวยความสะดวกในส่วนของการให้บริการจำหน่ายน้ำมัน ซึ่งทุกคนจะได้รับการฝึกอบรมเป็นพิเศษ เพื่อมาเสริมด้านการบริการให้สร้างความพึงพอใจสูงสุดแก่กลุ่มลูกค้า
ในส่วนของธุรกิจ Non-Oil บริษัทฯ ได้ร่วมมือกับทางการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) ติดตั้งสถานีอัดประจุไฟฟ้าสำหรับรถยนต์ภายในสถานีบริการน้ำมัน PT ภายใต้นามว่า Elex by EGAT Max โดย ณ สิ้นปี 2565 Elex by EGAT Max ได้ติดตั้งไปแล้ว 35 สถานี และมีแผนที่จะติดตั้งเป็น 65 สถานีในปี 2566 กระจายตามจุดสำคัญทั่วประเทศ
สำหรับร้านกาแฟพันธุ์ไทย พร้อมเติบโตตามแผนกลยุทธ์ 4 ด้าน คือ 1.ขยายสาขาในรูปแบบของ “แฟรนไชส์” ทั้งภายในและนอกสถานีบริการน้ำมัน PT 2.รังสรรค์เครื่องดื่มใหม่ ๆ โดยใช้วัตถุดิบที่มีรสชาติดีและหาทานได้ยากจากทั่วทุกภูมิภาคของประเทศไทย 3.เน้น Delivery Platform ให้มากขึ้น ทั้งนี้ เพื่อเพิ่มการรับรู้ (Awareness) การมองเห็น (Visibility) และการเข้าถึงแบรนด์ของลูกค้า (Accessibility) และ 4.นำข้อมูลลูกค้าจากบัตรสมาชิก PT Max Card และ PT Max Card Plus มาเป็นเครื่องมือในการวิเคราะห์พฤติกรรมการบริโภคของลูกค้า เพื่อเพิ่มยอดขายและความถี่ของการเข้าใช้บริการร้านกาแฟพันธุ์ไทย
นอกจากนี้ ยังมี Application “Max Me” ที่เปิดตัวเมื่อไตรมาส 3 ปี 2565 เข้ามาช่วยเสริม ธุรกิจ Oil และ Non-Oil โดยมาช่วยตอบโจทย์ลูกค้าสมาชิกบัตร PT Max Card กว่า 19 ล้านสมาชิก ให้ทำธุรกรรมต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นการสะสมแต้มเสมือนบัตร PT Max Card อีกทั้งยังมีฟังก์ชัน e-Wallet ให้ใช้จ่ายผ่านโทรศัพท์มือถือในยุคดิจิตอลไลฟ์สไตล์ สอดคล้องกับยุคสังคมไร้เงินสด
นายรังสรรค์ พวงปราง ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท พีทีจี เอ็นเนอยี จำกัด (มหาชน) กล่าวว่าจำนวนสถานีบริการน้ำมัน PT ณ สิ้นปี 2565 อยู่ที่ 2,149 สถานี แบ่งเป็น สถานีบริการฯ ที่เป็นกรรมสิทธิ์ของบริษัทฯ (COCO)1,809 สถานี และสถานีบริการฯ ที่เป็นของผู้ประกอบการที่ได้รับสิทธิ์จากบริษัทฯ (DODO) จำนวน 340 สถานี
สำหรับสาขาธุรกิจ Non-Oil ณ สิ้นปี 2565 อยู่ที่ 1,526 สาขา แบ่งเป็น 1.ร้านกาแฟพันธุ์ไทย 511 สาขา 2.ธุรกิจ LPG แบ่งเป็น สถานีบริการ Auto LPG 231 สถานี และร้านจำหน่ายก๊าซ LPG บรรจุถัง (Gas Shop) 253 สาขา 3.ร้านสะดวกซื้อ Max Mart 309 สาขา 4.ร้านคอฟฟี่ เวิลด์ 26 สาขา 5.ศูนย์บริการซ่อมแซมและบำรุงรักษารถยนต์ Autobacs 45 สาขา 6.ศูนย์เปลี่ยนถ่ายน้ำมัน Maxnitron Lube Change 52 สาขา 7.จุดพักรถ Max Camp 64 จุด และ 8.สถานีอัดประจุไฟฟ้า (EV Charging) 35 จุดชาร์จ
โดยธุรกิจ Non-Oil มีการเติบโตในทุกมิติ ไม่ว่าจะเป็น จำนวน Touchpoint ที่โต 36% และมี CAGR 5 ปีเฉลี่ยสะสมที่ 34% รายได้เติบโต 68% YoY และ CAGR 5 ปี ที่ 37% กำไรขั้นต้นเติบโต 50% YoY และ CAGR 5 ปี ที่ 36% และสัดส่วนกำไรขั้นต้นที่เติบโตอย่างต่อเนื่อง โดย ณ สิ้นปี มีสัดส่วนกำไรขั้นต้นในธุรกิจ Non-Oil ที่ 18.5% ซึ่งเป็นไปตามที่เมองไว้ว่าจะอยู่ที่ระดับ 15-20%
ขณะที่โครงการ Solar Rooftop เป็นการลงทุนผ่าน บริษัท พีทีจี กรีน เอ็นเนอยี จำกัด (PTGGE) ซึ่งปัจจุบันอยู่ระหว่างลงทุนและซื้อขายไฟฟ้าในรูปแบบ Private PPA กับบริษัทฯ และจะขยายการลงทุนในประเทศและต่างประเทศต่อไปในอนาคต ปัจจุบันโครงการนี้มีมูลค่าเงินลงทุน 300 ล้านบาท และมีกำลังการผลิตไฟฟ้า ทั้ง Phase 1-4 โดยรวมประมาณ 8.171 MW โดย Phase 1 และ 2 ได้ดำเนินการติดตั้งเสร็จสิ้นแล้ว และปีนี้มีแผนติดตั้งเพิ่มอีก 6.291 MW โดยคาดว่าในปี 2567 จะลดปริมาณการใช้ไฟฟ้า 9.5 ล้านหน่วยต่อปี คาดว่าจะลดค่าใช้จ่าย 40-50 ล้านบาท รวมทั้งช่วยลดปริมาณการปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์ได้ 4.237 ล้านตันต่อปี (EPPO ref:การปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ต่อหน่วยการใช้ไฟฟ้า (kWh) :0.446)
สำหรับโรงไฟฟ้าขยะเพื่อชุมชน ณ เทศบาลเมืองบ้านพรุ จะช่วยเสริมธุรกิจ Renewable Energy และส่งเสริมมิติสิ่งแวดล้อม สอดคล้องกับกลยุทธ์ ESG ซึ่งมีมูลค่าโครงการโดยประมาณ 1,000 ล้านบาท คาดว่าจะเริ่มการก่อสร้างช่วงไตรมาส 3/2566 และเปิด COD ได้ในปี 2568 โดยคาดว่าสามารถลดปริมาณขยะสะสมได้ 2-3 ล้านตัน ลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์สะสมได้ 4-5 ล้านตัน และสร้างงานสร้างโอกาสให้คนอีก 100 ตำแหน่ง รวมไปถึงช่วยส่งเสริมสุขอนามัย สิ่งแวดล้อม และความเป็นอยู่ในชุมชนให้ดีขึ้น ตามวิสัยทัศน์การดำเนินงานของบริษัทฯ ที่หวังให้ลูกค้าและผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทุกกลุ่มมีชีวิตที่ “อยู่ดี มีสุข” ในทุกด้านทุกช่วงชีวิต