PTG ปี 65 ยอดขายน้ำมันสูงสุดเป็นประวัติการณ์ โกยรายได้ 1.7 แสนล้านบาท โต 34.1%

0
73

PTG ประกาศผลงานปี 65 โกยรายได้รวม 179,422 ล้านบาท เติบโต 34.1% ขานรับผลบวกปริมาณการจำหน่ายน้ำมันพุ่ง 5,316 ล้านลิตร เติบโต 5.9% จากปีก่อน ทำสถิติสูงสุดเป็นประวัติการณ์ ดัน EBITDA กว่า 5,623 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 3.8% พร้อมจ่ายปันผลอีกหุ้นละ 0.20 บาท ขึ้น XD 9 มีนาคมนี้ กางแผนปี 66 รับการเติบโตทุกมิติ อัดงบลงทุน 5,000-6,000 ล้านบาท ลุยขยายธุรกิจต่อเนื่อง วางเป้าปริมาณการจำหน่ายน้ำมันผ่านทุกช่องทางเติบโต 8-12%

นายพิทักษ์ รัชกิจประการ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท พีทีจี เอ็นเนอยี จำกัด (มหาชน) หรือ PTG เปิดเผยผลการดำเนินงานปี 2565 ว่ามีรายได้รวม 179,422 ล้านบาท เติบโต 34.1% จากปีก่อน จากธุรกิจ Oil ที่มีปริมาณการจำหน่ายน้ำมันผ่านทุกช่องทาง 5,316 ล้านลิตร เติบโต 5.9% จากปีก่อน นับเป็นปริมาณการจำหน่ายน้ำมันผ่านทุกช่องทางที่สูงสุดเป็นประวัติการณ์ และราคาค้าปลีกเฉลี่ยต่อลิตรเพิ่มขึ้น 25.2% เมื่อเทียบกับปีก่อน มาอยู่ที่ 31.94 บาทต่อลิตร

ขณะที่รายได้จากธุรกิจ Non-Oil ยังคงเติบโตต่อเนื่อง มีรายได้รวมอยู่ที่ 9,478 ล้านบาท เติบโต 68.5% จากปี 2564  จากธุรกิจก๊าซ LPG มีปริมาณการจำหน่ายก๊าซ LPG ที่ยังคงสร้างสถิติปริมาณการจำหน่ายที่สูงสุดอย่างต่อเนื่องเช่นกัน โดยสิ้นปี 2565 มีปริมาณการจำหน่าย 497 ล้านลิตร เพิ่มขึ้น 62.4% และราคาเฉลี่ยอยู่ที่ 11.48 บาทต่อลิตร เพิ่มขึ้น 17.9% รวมถึงธุรกิจร้านกาแฟพันธุ์ไทย ที่มีรายได้จำนวน 805 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 76.3%

โดยกำไรขั้นต้นของปี 2565 อยู่ที่ 12,008 ล้านบาท เติบโต 18.5% โดยสัดส่วนหลักมาจากธุรกิจ Oil ที่เติบโต 13.1%  เป็น 9,786 ล้านบาท จากปริมาณการจำหน่ายเพิ่มขึ้น การปรับราคาค้าปลีกให้สอดคล้องกับการเพิ่มขึ้นของต้นทุนน้ำมัน  และการบริหารจัดการต้นทุนได้อย่างมีประสิทธิภาพ  ขณะที่ธุรกิจ Non-Oil เติบโต 50.1%  เป็น 2,222 ล้านบาท จากการขยายธุรกิจอย่างต่อเนื่อง

อย่างไรก็ตามในปี 2565 บริษัทฯ มี EBITDA เท่ากับ 5,623 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 3.8% ขณะที่ค่าเสื่อมราคาเพิ่มขึ้นจากการขยายตัวของสถานีบริการและสาขาของธุรกิจ Non-Oil อีกทั้งได้รับผลกระทบจากราคาน้ำมันปาล์มดิบ รวมทั้งการปรับลดสัดส่วนไบโอดีเซล (B100) จาก B7 เป็น B5 ในช่วงระหว่างเดือนกุมภาพันธ์-ตุลาคม 2565 และปรับเป็น B7 ตั้งแต่เดือนตุลาคม 2565 จนถึงมีนาคม 2566 เพื่อบรรเทาภาระค่าครองชีพที่สูงจากวิกฤตราคาพลังงานที่เพิ่มสูงขึ้นทั่วโลก จึงส่งผลให้ยังคงรับรู้ส่วนแบ่งขาดทุนจากกิจการร่วมค้า ทำให้กำไรสุทธิในปี 2565 เท่ากับ 953 ล้านบาท ลดลง 6.3% จากปีก่อน

สำหรับการขยายสาขาในปี 2565  ทำอย่างต่อเนื่องทั้ง Oil และ Non-Oil  ส่งผลให้ ณ สิ้นปี 2565 มีสถานีบริการน้ำมัน PT รวม 2,149 สาขา  ธุรกิจ Non-Oil 1,526 สาขา แบ่งเป็น สถานีบริการ Auto LPG 231 สาขาร้านจำหน่ายก๊าซ LPG บรรจุถัง (Gas Shop) 253 สาขา ร้านกาแฟพันธุ์ไทย 511 สาขา ร้านคอฟฟี่ เวิลด์ 26 สาขา ร้านสะดวกซื้อ Max Mart 309 สาขา ศูนย์บริการซ่อมแซมและบำรุงรักษารถยนต์ Autobacs 45 สาขา ศูนย์เปลี่ยนถ่ายน้ำมัน Maxnitron Lube Change 52 สาขา จุดพักรถ Max Camp 64 สาขา และสถานีอัดประจุไฟฟ้า (EV Charging) 35 สาขา

โดยที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทฯ มีมติอนุมัติจ่ายเงินปันผล ในอัตราหุ้นละ 0.20 บาท โดยกำหนดให้วันที่ไม่ได้รับสิทธิปันผล (XD) ในวันที่ 9 มีนาคม 2566 และกำหนดรายชื่อผู้ถือหุ้นที่มีสิทธิได้รับเงินปันผล (Record Date) ในวันที่ 10 มีนาคม 2566 และกำหนดจ่ายเงินปันผลในวันที่ 19 พฤษภาคม 2566

นายพิทักษ์  กล่าวถึงแผนการดำเนินงานปี 2566 ว่าวางเป้า EBITDA โต 8-12% และปริมาณการจำหน่ายน้ำมันผ่านทุกช่องทางเติบโต 8-12% จากการฟื้นตัวของภาคการท่องเที่ยว โดยจีนสิ้นสุดมาตรการ Zero COVID-19 ตั้งแต่วันที่ 8 มกราคม 2566   โดยกำหนดงบลงทุน 5,000-6,000 ล้านบาท รองรับการขยายธุรกิจ โดยคาดว่าจะมีสถานีบริการน้ำมันเพิ่มเป็น 2,206 สถานี  เน้นขยายตามพื้นที่เส้นทางหลัก  รวมไปถึงการปรับปรุงสถานีบริการเพื่อยกระดับคุณภาพสินค้าและบริการ ตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้ามากขึ้น

ขณะที่ธุรกิจ Non-Oil วางเป้าสัดส่วนกำไรขั้นต้นคิดเป็น 20-30% ของกำไรขั้นต้นรวม โดยมุ่งเน้นการเติบโตในธุรกิจก๊าซ LPG ธุรกิจร้านกาแฟพันธุ์ไทย และอื่น ๆ โดยธุรกิจก๊าซ LPG ยังคงมองการเติบโตของปริมาณการจำหน่ายก๊าซไว้ที่ระดับ 40-60% จากกลุ่ม Auto LPG ด้วยการยกระดับประสบการณ์ให้แก่ลูกค้าด้วยงานบริการ ส่งเสริมยอดขาย และครองส่วนแบ่งการตลาด อันดับ 1 ด้วยโครงการ “Taxi Transform” และ “Auto Transform” รวมถึงการใช้กลยุทธ์ทางด้านการตลาดผ่านระบบสมาชิกบัตร PT Max Card เพื่อรักษาและขยายฐานลูกค้า

ส่วนธุรกิจในกลุ่มก๊าซครัวเรือนและอุตสาหกรรม มุ่งรักษาฐานลูกค้าหลักเดิม และหาฐานลูกค้าใหม่ รวมถึงการนำเสนอโปรโมชั่นการขาย และการรับรู้แบรนด์ PT แก่ลูกค้า และเน้นการขยายจำนวนสถานีบริการ Auto LPG และ Gas Shop เป็น 574 สาขา จากเดิมที่มีอยู่ 484 สาขาในปี 2565

สำหรับธุรกิจร้านกาแฟพันธุ์ไทย ปี 2566 ตั้งเป้าขยายสาขาเป็น 1,500 สาขา จาก 511 สาขา ในปี 2565 ทั้งในและนอกสถานีบริการน้ำมัน โดยมุ่งเน้นขยายสาขาในย่านใจกลางเมือง ย่านธุรกิจที่มีกำลังซื้อสูง ทั้งในเขตกรุงเทพ ปริมณฑล เมืองท่องเที่ยว รวมไปถึงหัวเมืองตามจังหวัดต่าง ๆ รวมทั้งวางแผนในการออกสินค้าที่โดดเด่นและมีเอกลักษณ์แตกต่างจากคู่แข่งเพื่อสร้างการเติบโตของยอดขาย พร้อมกับวางกลยุทธ์ทางการตลาดและการสื่อสารแบรนด์ผ่านช่องทางดิลิเวอรี เพื่อให้เข้าถึงได้ง่ายทั้งบริการและรับรู้ถึงแบรนด์

นอกจากนี้ ในอนาคตจะมุ่งเน้นการขยายสาขาโดยการขายแฟรนไชส์ 5 รูปแบบ ได้แก่ รูปแบบ Kiosk, Food Truck, Trailer, Build in และ Stand Alone โดยลงทุนเริ่มต้นเพียง 1.25 ล้านบาทต่อสาขา ซึ่งปัจจุบันได้รับการตอบรับเป็นอย่างดีจากตลาด

ขณะที่ธุรกิจอื่น ๆ ภายใต้ธุรกิจ Non-Oil ยังคงวางแผนขยายสาขาและ Touchpoints อย่างต่อเนื่อง โดยในปี 2566 จะขยายเป็น 674 สาขา จาก 531 สาขาในปี 2565 จากธุรกิจร้านสะดวกซื้อ Max Mart ศูนย์บริการและซ่อมบำรุงรถยนต์ Autobacs และสถานีอัดประจุไฟฟ้า Elex by EGAT Max ที่มองว่าจะสามารถขยายการติดตั้งเพิ่มทั้งสิ้นเป็น 65 สถานี

นอกจากนี้ ยังมีโครงการภายใต้กลุ่มธุรกิจพลังงานทดแทน อาทิ โครงการกำจัดขยะมูลฝอยเพื่อผลิตกระแสไฟฟ้าจากชุมชน ขนาด 4.5 เมกะวัตต์ จังหวัดสงขลา  โดยคาดว่าจะเริ่มก่อสร้างในไตรมาส 3/2566 คาดว่าจะเปิดจ่ายไฟฟ้าเข้าระบบเชิงพาณิชย์ (COD) ภายในปี 2568 รวมถึงโครงการโซลาร์รูฟท็อปสถานีบริการน้ำมันที่ได้มีการติดตั้งไปแล้ว 33 สถานี ในปี 2565 ซึ่งมีกำลังไฟทั้งหมด 601,037 kWh สามารถประหยัดค่าไฟได้กว่า 2.4 ล้านบาท โดยจะสามารถขยายการติดตั้งโซลาร์รูฟท็อปในพื้นที่สถานีบริการน้ำมัน PT อีก 250-300 สถานีภายในปี 2566 และคาดว่าจะสามารถลดปริมาณการใช้ไฟในปี 2567 ได้เพิ่มเติม 40-60 ล้านบาท