SCB ขายกองทุน SCBDSHARC1YA  เจาะกลุ่มเวลธ์ ลงทุนขั้นต่ำ 5 แสนบาท

0
65

ธนาคารไทยพาณิชย์ เตรียมเสนอขายกองทุนเปิดไทยพาณิชย์  Double Structured Complex Return 1 YA (SCBDSHARC1YA )วันที่ 1 – 9  กันยายน  2565  เจาะกลุ่มลูกค้าเวลธ์   มูลค่าโครงการ 2,000 ล้านบาท อายุ 1  ปี เงินลงทุนขั้นต่ำ 500,000 บาท  เน้นลงทุนตราสารหนี้  เงินฝาก ตราสารการเงิน ทั้งในและหรือต่างประเทศ ในสัดส่วน 99.25% อีก 0.75%  ลงทุนในสัญญาซื้อขายล่วงหน้า ที่จ่ายผลตอบแทนอ้างอิงกับราคาทองคำ

นายศรชัย  สุเนต์ตา  ผู้ช่วยผู้จัดการใหญ่  ผู้บริหารสายงาน  Investment office and product และผู้ช่วยผู้จัดการใหญ่ ผู้บริหารฝ่าย CIO office   ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน)  เปิดเผยว่า  กองทุนเปิดไทยพาณิชย์ Double Structured Complex Return 1 YA ห้ามขายผู้ลงทุนรายย่อย (SCBDSHARC1YA) เป็นกองทุนที่มีความเสี่ยงสูงหรือซับซ้อน  จัดอยู่ในระดับความเสี่ยงปานกลางค่อนข้างสูง (ระดับ5)

มีนโยบายลงทุนในตราสารหนี้ และ/หรือ  เงินฝาก  ตราสารทางการเงินที่เสนอขายในประเทศ และ/หรือ ต่างประเทศ รวมทั้งหลักทรัพย์ หรือ  ทรัพย์สินอื่น หรือการหาดอกผลโดยวิธีอื่น ที่เป็นไปตามหลักเกณฑ์ของสำนักงานก.ล.ต.โดยอันดับความน่าเชื่อถือของตราสารหนี้หรือของผู้ออกตราสารอยู่ในอันดับที่สามารถลงทุนได้ (Investment grade)  รวมกันทั้งสิ้นประมาณร้อยละ  99.25 ของมูลค่าทรัพย์สินสุทธิของกองทุน ( NAV)  โดยมีเป้าหมายให้เงินส่วนนี้เติบโตครอบคลุมเงินต้นกองทุนจะเข้าทำสัญญาซื้อขายล่วงหน้า(Derivatives)เพื่อป้องกันความเสี่ยง (Hedging)จากอัตราแลกเปลี่ยน ( Foreign  Exchange Rate risk )  ทั้งจำนวน

นอกจากนี้ กองทุนจะแบ่งเงินลงทุนประมาณร้อยละ 0.75 ของมูลค่าทรัพย์สินสุทธิของกองทุน (NAV) ลงทุนในสัญญาซื้อขายล่วงหน้า (Derivatives ) เช่น สัญญาออปชั่น (Option) ที่มีการจ่ายผลตอบแทนอ้างอิงกับราคาทองคำ  Gold  spot (XAUUSD)  ตามเงื่อนไขการจ่ายผลตอบแทน เพื่อเปิดโอกาสให้กับกองทุนสามารถแสวงหาผลตอบแทนส่วนเพิ่มจากการเปลี่ยนแปลงของราคาทองคำ Gold spot    

 กองทุน SCBDSHARC1YA  ช่วยลดความเสี่ยงจากการขาดทุนของเงินต้น ผ่านการเลือกลงทุนในตราสารหนี้ที่มีคุณภาพ  ทั้งตราสารหนี้และเงินฝากของผู้ออกตราสารที่ได้รับการจัดอันดับความน่าเชื่อถือระดับ Investment grade ขึ้นไป พร้อมโอกาสรับผลตอบแทนชดเชยใกล้เคียงอัตราดอกเบี้ยเงินฝาก และโอกาสรับผลตอบแทนจากสัญญาออปชั่น ที่จ่ายผลตอบแทนอ้างอิงกับราคาทองคำ (XAUUSD)   สำหรับผลตอบแทนคาดการณ์ของกองทุนสามารถเกิดขึ้นได้จาก 3 กรณีดังนี้

กรณีที่ 1 )  ราคาสินทรัพย์อ้างอิง ณ ทำการวันใดวันหนึ่งตลอดอายุสัญญาออปชั่น  ปรับลดลงมากกว่า -10%  หรือเพิ่มขึ้นมากกว่า + 10% เมี่อเทียบกับราคาสินทรัพย์   ณ วันเริ่มต้นสัญญา   (Knockout) จะได้รับเงินต้นคืนเต็มจำนวนบวกผลตอบแทนชดเชย  0.25%  ณ วันครบอายุโครงการ

กรณีที่2)  ราคาสินทรัพย์อ้างอิง ณ วันพิจารณาไม่เปลี่ยนแปลง หรือปรับเพิ่มขึ้นไม่เกิน + 10%  เมื่อเทียบกับราคาสินทรัพย์ ณ วันเริ่มต้นสัญญา  จะได้รับเงินต้นคืนเต็มจำนวนบวกผลตอบแทบจากออปชั่น 

กรณีที่ 3) ราคาสินทรัพย์อ้างอิง ณ วัน พิจารณาปรับลดลงไม่เกิน -10%  เมื่อเทียบกับราคาสินทรัพย์  ณ วันเริ่มต้นสัญญาจะได้รับเงินต้นคืนเต็มจำนวนบวกผลตอบแทนจากสัญญาออปชั่น(หากราคาสินทรัพย์ติดลบแต่ผลตอบแทนจากสัญญาออปชั่น ยังจ่ายผลตอบแทนเป็นบวก)

ตัวอย่างการคำนวณผลตอบแทนของกองทุน SCBDSHARC1YA    สมมติฐานเงินลงทุน  1,000,000 บาท   ตัวอย่าง กรณีไม่มีการเปลี่ยนแปลงของอัตราแลกเปลี่ยน USD /THB จะได้รับผลตอบแทนดังนี้  

1) ราคาสินทรัพย์อ้างอิงปรับขึ้นหรือลดลงเกินกรอบ -10%,+10% = Knockout   จะได้รับผลตอบแทนจาก ออปชั่น = 0 % ผลตอบแทนรวม =  เงินต้น + ผลตอบแทนชดเชย (1,000,000 + 2,500 บาท )= 1,002,500 บาท

2)ราคาสินทรัพย์อ้างอิงปรับตัวเพิ่มขึ้นไม่เกิน+10% ผลตอบแทนจากออปชั่น = 50% x (ดัชนีอ้างอิง ณ วันที่

พิจารณา หาร ดัชนีอ้างอิง ณ วันเริ่มต้น  ลบ  1 เช่น  50% x  (1,080 /1,000 -1) x 1,000,000  บาท =  0.04 x 1,000,000 บาท  = 40,000 บาท ดังนั้น จะได้รับเงินต้นบวกผลตอบแทนจากออปชั่น = 1,040,000 บาท

3)ราคาสินทรัพย์อ้างอิงปรับตัวลดลงไม่เกิน -10% ผลตอบแทนจากออปชั่น= 50% x (ดัชนีอ้างอิง ณ วันที่ พิจารณา หารดัชนีอ้างอิง ณ วันเริ่มต้นสัญญา – 1 เช่น 50% x (920 /1,000 -1) x 1,000,000 บาท  =  0.04  x 1,000,000  = 40,000 บาท  ดังนั้น จะได้รับเงินต้นบวกผลตอบแทนจากออปชั่น 1,000,000 + 40,000 บาท = 1,040,000 บาท

ตัวอย่างกรณีที่มีการเปลี่ยนแปลงของอัตราแลกเปลี่ยน USD / THB  จะได้รับผลตอบแทนดังนี้

กรณีที่ 1   ค่าเงินบาทแข็งค่าขึ้น  ณ วันเริ่มต้นสัญญา อยู่ที่ 35 บาทต่อ 1  ดอลล่าร์  และวันที่พิจารณาดัชนี อ้างอิง  อยู่ที่ 30 บาทต่อดอลล่าร์  มีวิธีการคำนวณดังนี้   อัตราแลกเปลี่ยน ณ วันพิจารณาดัชนีอ้างอิงหาร อัตราแลกเปลี่ยน  ณ วันเริ่มต้นสัญญา เช่น  ( 30 / 35 = 0.86 )  การเปลี่ยนแปลงของ ดัชนีอ้างอิง ณ วันครบอายุสัญญาหาร ดัชนีอ้างอิง ณ วันเริ่มต้นสัญญา (1,080 / 1,000) -1 = 0.08 ดังนั้น ผลตอบแทน (50% x 0.08 )x 0.86 x1,000,000 = 34,400 บาท  โดยจะได้รับผลตอบแทนรวม เงินต้น +ดอกเบี้ย + ออปชั่น = 1,034,400 บาท

กรณีที่ 2  ค่าเงินบาทอ่อนค่าลง  ณ วันเริ่มต้นสัญญา อยู่ที่ 35 บาทต่อดอลล่าร์  และวันที่พิจารณาดัชนีอ้างอิง  อยู่ที่ 40  บาทต่อดอลล่าร์   โดยคำนวณดังนี้   อัตราแลกเปลี่ยน  ณ วันพิจารณาดัชนีอ้างอิง  หาร อัตราแลกเปลี่ยน ณ วันเริ่มต้นสัญญา  เช่น (40 / 35  =  1.14)     การเปลี่ยนแปลงของดัชนีอ้างอิง ณ วันที่พิจารณา  หาร ดัชนีอ้างอิง ณ วันเริ่มต้นสัญญา (1,080 / 1,000) -1 = 0.08  ผลตอบแทน (50% x 0.08 )x 1.14 x1,000,000 = 45,600 บาท  จะได้รับผลตอบแทนรวมเงินต้น + ดอกเบี้ย+ ออปชั่น = 1,045,600 บาท

สำหรับราคาทองคำ คาดว่าทิศทางยังเป็น Sideway ในอีก1 ปีข้างหน้าจากอุปสงค์ธนาคารกลางหลายแห่งทั่วโลกเข้าช้อนซื้อไว้เป็นทุนสำรอง การเคลื่อนไหวในกรอบ Sideway จึงเหมาะที่จะใช้เป็นสินทรัพย์อ้างอิงของกองทุนSCBDSHARC1YAเพื่อสร้างโอกาสรับผลตอบแทนสูงกว่าดอกเบี้ยเงินฝากธนาคาร เพิ่มมูลค่าให้พอร์ตลงทุนในช่วงเสี่ยงต่อภาวะเศรษฐกิจถดถอย

ส่วนทิศทางค่าเงินบาท ในระยะสั้นยังเผชิญแรงกดดันด้านอ่อนค่า โดยคาดว่าจะอยู่ในช่วง   35.5 – 36.5  ต่อดอลล่าร์สหรัฐ จากการเร่งดำเนินนโยบายการเงินแบบเข้มงวดของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ส่งผลให้ส่วนอัตราดอกเบี้ย ( Rate differential ) ระหว่าง US และประเทศต่างๆปรับสูงขึ้นต่อเนื่อง   รวมทั้งความกังวลต่อภาวะเศรษฐกิจถดถอยของโลก  และสงครามรัสเซียที่กระทบกลุ่มยุโรปรุนแรง  ทำให้นักลงทุนปิดรับความเสี่ยงและเข้าลงทุนในสินทรัพย์ปลอดภัยมากขึ้น

สำหรับประเทศไทย ดุลบัญชีเดินสะพัดยังขาดดุลอยู่ในไตรมาส 3 จากราคาพลังงานที่สูง เงินเฟ้อที่ปรับตัวสูงขึ้น ขณะที่เศรษฐกิจไทยยังไม่ฟื้นตัวมากนัก เป็นอีกปัจจัยที่กดดันค่าเงินบาท แต่อย่างไรก็ตามค่าเงินบาทจะไม่อ่อนค่าอีกมากนัก  เนื่องจากนักลงทุนได้ Price -in ความเสี่ยงภาวะเศรษฐกิจโลกถกถอยไปมากแล้ว  อีกทั้งธนาคารแห่งประเทศไทย ยังดูแลความผันผวนของค่าเงินบาทผ่านการใช้เงินทุนสำรอง

โดยในช่วงไตรมาส 4  เงินบาทมีแนวโน้มกลับมาแข็งค่าขึ้นในกรอบ 35-36 บาท ต่อดอลล่าร์สหรัฐ จากเศรษฐกิจไทยในช่วงครึ่งปีหลังมีแนวโน้มปรับตัวดีขึ้น  ซึ่งจะช่วยกระตุ้น Portfolio flow  จากนักลงทุนต่างชาติ   ทางด้านดุลบัญชีเดินสะพัดมีแนวโน้มกลับมาเกินดุล  จากจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติที่จะเพิ่มขึ้น  ประกอบกับราคาน้ำมัน และค่าระวางเรือที่มีแนวโน้มลดลง และการปรับขึ้นดอกเบี้ยนโยบายของเฟดมีแนวโน้มช้าลงในไตรมาส 4