SCB CIO ชี้ปัดฝุ่น LTF หนุนลงทุนหุ้นไทย คาดเม็ดเงินไหลเข้ากว่า 4หมื่นล้านบาทต่อปี 

0
31

SCB CIO เผยมุมมองหาก LTF กลับมาให้นักลงทุนได้สร้างวินัยการออมระยะยาวอีกครั้ง จะเป็นปัจจัยบวกต่อตลาดหุ้นไทย ช่วยลดความผันผวนจากการถูก Short sell   และลดเงินทุนไหลออกจากแรงขายของนักลงทุนสถาบัน คาดจะมีเม็ดเงินไหลกลับเข้าตลาดหุ้นไทย 4-5 หมื่นล้านต่อปี แนะปัจจัยหนุนเศรษฐกิจไทยมีแนวโน้มตัวดีขึ้นในช่วงครึ่งปีหลัง ทั้งการเบิกจ่ายงบประมาณภาครัฐในไตรมาส 3 ช่วยหนุนผลประกอบการบจ.  และเงินบาทแนวโน้มแข็งค่าหนุนเม็ดเงินไหลเข้า 

นายศรชัย สุเนต์ตา, CFA รองผู้จัดการใหญ่ ผู้บริหารสายงาน Investment Office and Product กลุ่มธุรกิจ Wealth ธนาคารไทยพาณิชย์  เปิดเผยว่า SCB Chief Investment Office (SCB CIO) วิเคราะห์ผลที่จะเกิดขึ้นต่อตลาดหุ้นไทย ในกรณีที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังมีแนวคิดผลักดันให้นักลงทุนสามารถกลับมาใช้สิทธิประโยชน์ทางภาษีจากการลงทุนในกองทุนรวมหุ้นระยะยาว (Long Term Equity Fund : LTF) ว่า เป็นปัจจัยบวกสนับสนุนดัชนีตลาดหุ้นไทย โดยช่วยลดเงินทุนไหลออก ลดแรงขายของนักลงทุนสถาบันในประเทศลงได้  

ทั้งนี้ จากการรวบรวมสถิติพบว่า ในช่วง 7 ปีสุดท้าย ก่อนที่การใช้สิทธิประโยชน์ทางภาษีจากการลงทุนใน LTF จะหมดลง มีเม็ดเงินไหลเข้ามาลงทุนใน LTF ประมาณ 5-7 หมื่นล้านบาทต่อปี และหากคิดเป็นยอดเงินลงทุนสุทธิ โดยคำนวณจากเงินที่ไหลเข้ามาลงทุน หักเงินที่ไถ่ถอนหน่วยลงทุนออกไป ก็ยังสูงถึง 2-3 หมื่นล้านบาทต่อปี แต่เมื่อการใช้สิทธิประโยชน์ทางภาษีสิ้นสุดลง ในปี 2562  มีเงินไหลออกจากกองทุน LTF ประมาณ 2 หมื่นล้านบาทต่อปี ขณะที่ ยอดเงินคงค้างที่อยู่ในกองทุน LTF โดยรวม ในปี 2562 เคยอยู่ที่ประมาณ 4 แสนล้านบาท ลดลงเหลือเพียง 2.47 แสนล้านบาท ในเดือน เม.ย. 2567

ดังนั้นหากกองทุน LTF กลับมาใช้สิทธิประโยชน์ภาษีได้อีกครั้ง และเป็นไปตามที่กระทรวงการคลังคาดการณ์ ก็จะมีเม็ดเงินไหลกลับเข้ามาในตลาดหุ้นไทยประมาณ 4-5 หมื่นล้านบาทต่อปี ซึ่งคาดว่าเงินบางส่วนจะมาจากเงินที่เคยลงทุนในกองทุนรวมหุ้นต่างประเทศ และเงินลงทุนใหม่ 

“ หากเงื่อนไขการลงทุนใน LTF ที่จะนำกลับมาใหม่นี้ ไม่นำยอดเงินลงทุนเพื่อรับสิทธิประโยชน์ทางภาษีไปรวมกับกองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพ (RMF), กองทุนรวมเพื่อการออม (SSF) ,กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ (PVD), กองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการ (กบข.) และ ประกันชีวินแบบบำนาญ ที่กำหนดยอดเงินลงทุนรวมกันไว้ไม่เกิน 500,000 บาท  โดยแยกเงินลงทุน LTF ออกมาอีก จำนวน 500,000 บาท และกำหนดเงื่อนไขระยะเวลาการถือครอง 5 ปี เหมือนในอดีต คาดว่าจะมีเม็ดเงินลงทุนในตลาดหุ้นไทยอีกประมาณ 4-5 หมื่นล้านบาท กระตุ้นตลาดหุ้นไทยกลับมาคึกคักได้อีกครั้ง ” นายศรชัย  กล่าว  

นอกจากนี้ กองทุน LTF ยังช่วยลดความผันผวนของดัชนีตลาดหุ้นไทยจากการถูก short sell (การยืมหุ้นมาขายเพื่อทำกำไร เมื่อคาดว่าหุ้นนั้นจะปรับตัวลดลง) เนื่องจากเวลาที่หุ้นปรับตัวลดลง นักลงทุนก็จะมีแรงซื้อกองทุน LTF เข้ามาช่วยพยุงตลาดให้ปรับตัวดีขึ้นได้ อีกทั้ง LTF จะช่วยเพิ่มมูลค่าการซื้อขายในตลาดหุ้นไทย ทำให้สภาพคล่องการซื้อขายดีขึ้น ซึ่งช่วยเพิ่มความเชื่อมั่นให้กับนักลงทุนทั้งในและต่างประเทศได้มากขึ้นด้วย

สำหรับ หุ้นที่ได้ประโยชน์จากการกลับมาของกองทุน LTF มองว่าเป็นหุ้นขนาดใหญ่ใน SET100 (หุ้น 100 บริษัทที่มีมูลค่าสูงสุดในตลาด) เนื่องจากหุ้นเหล่านี้มีสภาพคล่องการซื้อขายสูง มีปัจจัยพื้นฐานที่ดี สามารถถือลงทุนระยะยาวได้ อีกทั้งหุ้นหลายตัวใน SET100 เป็นหุ้นที่ให้เงินปันผลค่อนข้างดี และจากสถิติในอดีตพบว่า นักลงทุนสถาบันในประเทศ นิยมถือครองหุ้นขนาดใหญ่เป็นหลัก   

ทั้งนี้ SCB CIO มีมุมมองเป็นบวกมากขึ้นต่อการลงทุนในตลาดหุ้นไทย  ซึ่งนอกจากแนวโน้มการกลับมาของกองทุน LTF แล้ว ยังมีแนวโน้มปัจจัยหนุนจาก

1) อัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจ (GDP) ของไทยในช่วงไตรมาสแรกที่ออกมาดีกว่าคาด ขณะที่ เศรษฐกิจไทยยังมีแนวโน้มเร่งตัวขึ้นได้ต่อในช่วงครึ่งปีหลัง

2) การเบิกจ่ายงบประมาณภาครัฐ ที่จะเร่งตัวขึ้นในช่วงไตรมาสที่ 3 เป็นแรงหนุนภาคการลงทุนในประเทศ

3) ผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียน มีแนวโน้มถูกปรับประมาณการกำไรขึ้นในปีนี้ ตามการฟื้นตัวของเศรษฐกิจและอุปสงค์จากต่างประเทศที่เพิ่มขึ้น หลังจากรัฐบาลจีนได้ออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ

4) ค่าเงินบาทมีแนวโน้มที่จะกลับมาแข็งค่าในช่วงครึ่งหลังของปี หลังจากธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) ปรับลดดอกเบี้ยลง

5) Valuation ดัชนีตลาดหุ้นไทยอยู่ในระดับที่ไม่แพง  ณ ปัจจุบันซื้อขายด้วยราคาต่อกำไรต่อหุ้นในระยะ 12 เดือนข้างหน้า (Forward P/E) ที่ระดับ 14.6x ซึ่งต่ำกว่าค่าเฉลี่ย 5 ปีย้อนหลัง และเป็นระดับต่ำที่สุดนับตั้งแต่หลังเกิดวิกฤตโควิด-19 

ดังนั้น จึงสามารถลงทุนกองทุนรวมหุ้นไทยเป็นส่วนหนึ่งในพอร์ตลงทุนหลักระยะยาว 1 ปีขึ้นไป (Core Portfolio)  และลงทุนพอร์ตเสริมโอกาสระยะสั้น (Opportunistic Portfolio) ได้ในกรณีที่รับความเสี่ยงได้ปานกลางถึงสูง จากปัจจัยสนับสนุนที่เข้ามาในระยะใกล้ได้ โดยแนะนำให้ลงทุนผ่านกองทุน SCBTHAICGA กองทุนทุนรวมหุ้นไทย ประเภทที่มีนโยบายการลงทุนเชิงรุก ที่เน้นลงทุนในหุ้นเพียง 30 – 50 บริษัท โดยกระจายความเสี่ยงลงทุนในหลากหลายอุตสาหกรรม

คำเตือน  

  • การลงทุนมีความเสี่ยง ผู้ลงทุนควรทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไข ผลตอบแทนและความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุน 
  • กองทุน SCBTHAICGA มีความเสี่ยงระดับ 6 คือ เสี่ยงสูง  
  • ศึกษาข้อมูลกองทุนหลักและหนังสือชี้ชวนกองทุนรวมเพิ่มเติมได้จาก website ของบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนรวม ไทยพาณิชย์ จำกัด