เศรษฐกิจโลกไตรมาส 4 ปี 2567 ได้รับผลบวกจากแรงกดดันเงินเฟ้อที่ลดลงและการเข้าสู่วัฏจักรดอกเบี้ยขาลง นำโดยเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่ขยายตัวแข็งแกร่งกว่าคาด SCB EIC ยังคงมุมมองว่า เศรษฐกิจโลกในปีนี้เติบโตชะลอลงจากปีก่อน จากนโยบาย Trump 2.0 ซึ่งภาพรวมการดำเนินนโยบายของสหรัฐฯสอดคล้องกับที่ SCB EIC ประเมินไว้ โดยประธานาธิบดีทรัมป์เริ่มออกคำสั่งยกเลิกแนวนโยบายของรัฐบาลประธานาธิบดีไบเดนและเร่งแก้ปัญหาในประเทศทันที โดยเฉพาะการจัดการผู้อพยพผิดกฎหมาย และการปรับเปลี่ยนนโยบายด้านพลังงาน แต่ยังไม่มีคำสั่งขึ้นภาษีนำเข้าที่ชัดเจนเพื่อใช้เป็นเครื่องมือต่อรองกับประเทศคู่ค้า
เงินเฟ้อในประเทศเศรษฐกิจหลักจะทรงตัวสูงกว่าเป้าในช่วงต้นปี 2568 จากต้นทุนการผลิตเพิ่มขึ้นและค่าจ้างขยายตัวสูง โดยเฉพาะเงินเฟ้อสหรัฐฯ ที่มีความเสี่ยงเร่งขึ้นจากการกระตุ้นการลงทุนและขึ้นภาษีนำเข้า อย่างไรก็ดี แนวโน้มราคาน้ำมันโลกที่จะต่ำลงตามการเพิ่มกำลังการผลิตของสหรัฐฯ จะช่วยลดแรงกดดันเงินเฟ้อลงได้บ้าง โดยเฉพาะในยูโรโซนที่ยังเผชิญปัญหาด้านพลังงาน
SCB EIC จึงยังคงมุมมองนโยบายการเงินของธนาคารกลางหลักในปีนี้ว่า จะเห็นความแตกต่างกันมากขึ้น (Monetary policy divergence) และมีความไม่แน่นอนสูง โดย Fed มีแนวโน้มลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายรวมเพียง 50 BPS จากความกังวลความเสี่ยงเงินเฟ้อที่จะเพิ่มขึ้น ทั้งแรงกดดันเศรษฐกิจในประเทศและนโยบาย Trump 2.0 แต่ ECB กลับมีแนวโน้มเร่งลดอัตราดอกเบี้ยรวม 125 BPS ในปีนี้ จากแนวโน้มเศรษฐกิจที่อ่อนแอกว่าสหรัฐฯ มากและเงินเฟ้อที่ทรงตัวในระดับใกล้เป้าหมายของธนาคารกลางมากกว่า ขณะที่ BOJ มีแนวโน้มปรับดอกเบี้ยขึ้นรวม 50 BPS ในปีนี้จากมุมมองเงินเฟ้อที่สูงขึ้นและเงินเยนอ่อนค่า
SCB EIC ประเมินโมเมนตัมเศรษฐกิจไทยช่วงครึ่งแรกงปี 2568 จะดีต่อเนื่องจากช่วงปลายปี 2567 และยังพอมีปัจจัยบวก จากการทยอยออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ โดยช่วงที่ผ่านมาภาคการท่องเที่ยวและบริการเป็นแรงส่งสำคัญ จำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติเติบโตต่อเนื่อง ขณะที่คำสั่งบริหารของประธานาธิบดีทรัมป์ประเมินว่ายังไม่ส่งผลลบต่อไทยมากนัก จึงคาดว่าการส่งออกไทยในช่วงต้นปีจะขยายตัวได้ดี จากอานิสงส์วัฏจักรขาขึ้นของสินค้าอิเล็กทรอนิกส์และหลายประเทศเร่งนำเข้าสินค้าไทย ก่อนมาตรการกีดกันการค้าจะมีทีท่ารุนแรงขึ้น
ด้านการใช้จ่ายภาครัฐจะขยายตัวสูงตามการเบิกจ่ายงบประมาณที่ทำได้ต่อเนื่องจะเป็นอีกแรงส่งสำคัญ นอกจากนี้ยังมีปัจจัยบวกเพิ่มเติมจากมาตรการกระตุ้นการใช้จ่ายภาครัฐ เช่น โครงการกระตุ้นเศรษฐกิจผ่านเงินดิจิทัล 10,000 บาท เฟส 2 และเฟส 3 รวมทั้งมาตรการ Easy E-receipt ที่จะช่วยประคองการบริโภคภาคเอกชนให้ขยายตัวได้ในช่วงครึ่งปีแรก
ขณะที่เศรษฐกิจไทยช่วงครึ่งปีหลัง SCB EIC มองว่าจะขยายตัวชะลอลง จากมาตรการกีดกันทางการค้าของสหรัฐฯ ที่จะกระทบการค้าโลกรุนแรงขึ้น กดดันการส่งออกไทย รวมถึงมีปัจจัยฐานสูง ส่งผลให้ภาพรวมการส่งออกในครึ่งปีหลังจะขยายตัวต่ำ อีกทั้งเป็นช่วงที่มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจจะทยอยหมดไป ภาวะการเงินที่ยังมีแนวโน้มตึงตัว โดยเฉพาะการเข้าถึงสินเชื่อของลูกหนี้รายย่อย ส่งผลให้การบริโภคภาคเอกชนมีแนวโน้มแผ่วลงในช่วงครึ่งหลังของปี
สำหรับเงินเฟ้อ ภาพรวมปี 2568 มีความเสี่ยงด้านต่ำเพิ่มขึ้นจากราคาพลังงาน ทั้งจากราคาน้ำมันในตลาดโลก ราคาค่าไฟฟ้าที่มีแนวโน้มลดลง รวมทั้งมาตรการช่วยค่าครองชีพด้านพลังงานที่คาดว่าจะยังมีอย่างต่อเนื่อง
SCB EIC ปรับมุมมอง กนง. จะลดดอกเบี้ยอีก 1 ครั้ง แต่จะเลื่อนออกไปเป็นช่วงกลางปีนี้ ซึ่งเป็นช่วงเวลาหลังจากที่ กนง. มีข้อมูลประเมินผลกระทบนโยบาย Trump 2.0 ต่อเศรษฐกิจไทยชัดขึ้น ซึ่งคาดว่า กนง. จะเห็นทิศทางเศรษฐกิจไทยปีนี้เติบโตชะลอลงต่ำกว่าศักยภาพ นอกจากนี้ แนวการสื่อสารของ กนง. ในช่วงต้นเดือน ม.ค. ส่งสัญญาณโอกาสปรับลดดอกเบี้ยนโยบายในช่วงต้นปีลดลง และยังเน้นย้ำว่า การลดดอกเบี้ยในภาวะความไม่แน่นอนสูงจะมีประสิทธิผลจำกัด
อย่างไรก็ดี SCB EIC ประเมินว่าความเปราะบางของอุปสงค์ในประเทศ ภาวะการเงินตึงตัว และความเสี่ยงด้านลบของเศรษฐกิจไทยที่จะชัดเจนขึ้น ล้วนเป็นปัจจัยที่ กนง. จะสามารถพิจารณาลดดอกเบี้ยเพื่อผ่อนคลายนโยบายการเงินลงได้อีก ควบคู่กับภาครัฐที่จะเตรียมความพร้อมเศรษฐกิจไทยให้สามารถเผชิญผลลบจากนโยบายการค้าของสหรัฐฯ ที่ชัดเจนขึ้นในช่วงครึ่งหลังของปีนี้
ขณะที่เงินบาทแข็งค่าขึ้นในช่วงที่ผ่านมา ตามค่าเงินในภูมิภาคจากดัชนีเงินดอลลาร์สหรัฐอ่อนค่า หลังประธานาธิบดีทรัมป์มีท่าทีผ่อนคลายต่อมาตรการขึ้นภาษีนำเข้า และตลาดเกิดภาวะหลีกเลี่ยงความเสี่ยง (Risk-off) ทำให้เกิดการปรับฐานต่อสินทรัพย์สหรัฐฯ ที่มีมูลค่าสูงมากในช่วงก่อนหน้านี้ โดยในระยะสั้นมองเงินบาทอาจผันผวนสูงและกลับมาอ่อนค่าได้อยู่ที่ 34.5 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ หากสหรัฐฯ ใช้มาตรการขึ้นภาษีนำเข้ากับประเทศในเอเชียตามที่ประธานาธิบดีทรัมป์ได้กล่าวไว้ก่อนหน้า และ Fed อาจยังใช้แนวทาง Higher for longer ต่อ
สำหรับช่วงครึ่งหลังของปีมองเงินบาทอาจกลับมาแข็งค่าได้ หาก Fed ปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายช้าออกไปเป็นเริ่มช่วงกลางปี เนื่องจากมูลค่าของเงินดอลลาร์สหรัฐ สูงไปมาก สำหรับมุมมอง ณ สิ้นปีนี้ ประเมินว่าเงินบาทอยู่ที่ 34 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ
อ่านต่อบทวิเคราะห์ฉบับเต็มได้ที่… https://www.scbeic.com/th/detail/product/eic-monthly-0125