SCB EIC มองเศรษฐกิจไทยครึ่งปีหลังยังดี  แม้มีความเสี่ยงรอบด้าน

0
153

ศูนย์วิเคราะห์เศรษฐกิจและธุรกิจ ธนาคารไทยพาณิชย์ (SCB EIC) มองเศรษฐกิจโลกช่วงครึ่งปีหลัง 2566 มีแนวโน้มขยายตัวในอัตราชะลอลง จากการปล่อยสินเชื่อและภาวะการเงินที่จะตึงตัวต่อเนื่องตามผลสะสมของการขึ้นดอกเบี้ย ภาคการผลิตและอุปสงค์สินค้าที่จะยังซบเซา แรงหนุนจากภาคบริการเริ่มมีสัญญาณแผ่วลง แรงส่งจากเศรษฐกิจจีนที่ต่ำกว่าคาด รวมถึงปัญหาภูมิรัฐศาสตร์ที่ยืดเยื้อและมีความไม่แน่นอนสูง อย่างไรก็ตามการเติบโตของตลาดแรงงานและค่าจ้างในช่วงครึ่งปีแรก จะช่วยสนับสนุนการบริโภคและพยุงไม่ให้เศรษฐกิจโลกเข้าสู่ภาวะถดถอยในปีนี้

ขณะที่อัตราเงินเฟ้อทั่วไปของโลกมีแนวโน้มชะลอลงเร็ว ตามราคาสินค้าโภคภัณฑ์ที่ลดลงเร็ว และความเสี่ยงที่ราคาพลังงานจะกลับมาเร่งตัวในช่วงปลายปีมีจำกัดตามอุปสงค์พลังงานโลกและจีนที่ยังอ่อนแอ อัตราเงินเฟ้อพื้นฐานมีแนวโน้มชะลอลงช้า ตามค่าจ้างที่ยังสูงและตลาดแรงงานตึงตัว ธนาคารกลางประเทศเศรษฐกิจหลักจึงมีแนวโน้มขยายวงจรขึ้นดอกเบี้ยไปถึงไตรมาส 3 และจะคงอัตราดอกเบี้ยสูงไว้ตลอดปี เพื่อให้ผลของดอกเบี้ยส่งผ่านไปยังระบบเศรษฐกิจ

โดยธนาคารกลางสหรัฐ (Fed) มีแนวโน้มจะขึ้นดอกเบี้ยอีก 1 ครั้ง ในช่วงปลายเดือน ก.ค. สู่ 5.25-5.5% ขณะที่ธนาคารกลางยุโรป (ECB) และธนาคารกลางอังกฤษ (BOE) จะปรับขึ้นดอกเบี้ยต่ออีกนานกว่า โดย ECB มีแนวโน้มขึ้นดอกเบี้ย อีก 2 ครั้งในช่วงปลายเดือน ก.ค. และ ก.ย. สู่ Terminal rate 4% สำหรับ BOE มีแนวโน้มขึ้นดอกเบี้ยจนถึงเดือน ก.ย. สู่ Terminal rate 5.75% สูงสุดในกลุ่มเศรษฐกิจพัฒนาแล้ว (Advance Economies : AEs)

เศรษฐกิจไทยขยายตัวดีกว่าครึ่งปีแรก

ท่ามกลางปัจจัยความเสี่ยงรอบด้าน

สำหรับเศรษฐกิจไทยครึ่งปีหลัง 2566 SCB EIC มองว่ามีแนวโน้มขยายตัวต่อเนื่องและขยายตัวได้ดีกว่าช่วงครึ่งปีแรก จากแรงหนุนภาคการท่องเที่ยวและการบริโภคภาคเอกชน โดยในช่วง 6 เดือนแรก นักท่องเที่ยวต่างชาติฟื้นตัวใกล้เคียงประมาณการ ส่งผลให้การบริโภคภาคเอกชนขยายตัวดี โดยเฉพาะหมวดบริการ กอปรกับความเชื่อมั่นของผู้บริโภคและตลาดแรงงานที่มีแนวโน้มปรับดีขึ้น ขณะที่การส่งออกจะทยอยฟื้นตัวดีขึ้นในช่วงครึ่งปีหลัง จากที่หดตัวต่อเนื่องในครึ่งปีแรก

อย่างไรก็ตาม หากมองไปข้างหน้า เศรษฐกิจไทยยังเผชิญความเสี่ยงจากหลายปัจจัย ดังนี้

1) การกลับมาของเอลนีโญที่มีสัญญาณชัดเจนขึ้น จะสร้างความเสียหายต่อภาคเกษตร โดยข้อมูลน้ำฝนในเดือน มิ.ย. สะท้อนว่าพื้นที่ภาคเหนือ ภาคกลาง ภาคตะวันออก และภาคใต้ฝั่งตะวันตก อาจประสบภาวะฝนแล้งรุนแรงมากกว่าที่ SCB EIC คาดไว้ในเดือน พ.ค.

2) การจัดตั้งรัฐบาลใหม่ที่มีความไม่แน่นอนสูง อาจเป็นไปได้ที่จะล่าช้าถึงปลายเดือน ต.ค.

3) ปัญหาหนี้ครัวเรือนสูง โดยเฉพาะกลุ่มครัวเรือนรายได้น้อยที่ยังเปราะบางจากรายได้ไม่พอรายจ่าย และมีแนวโน้มจะเป็นเช่นนี้อีกนาน มีแนวโน้มจะก่อหนี้เพิ่มเติมมากกว่ากลุ่มอื่น

4) ภาคธุรกิจมีแนวโน้มฟื้นตัว แต่ความเปราะบางสูงขึ้น  โดยSCB EIC คาดว่าบริษัทราว 16% มีความเสี่ยงเป็นบริษัทผีดิบ (Zombie firms) ในปี 2566 ส่วนหนึ่งจากภาระดอกเบี้ยจ่ายที่สูงขึ้น โดยเฉพาะธุรกิจขนาดเล็ก ท่ามกลางทิศทางดอกเบี้ยขาขึ้นและมาตรฐานการให้สินเชื่อธุรกิจของสถาบันการเงินที่มีแนวโน้มเข้มงวดขึ้น

ขณะที่เงินเฟ้อไทยมีแนวโน้มขยายตัวต่ำ จากราคาพลังงานที่มีแนวโน้มชะลอตัว และนโยบายพยุงราคาพลังงานในประเทศมีแนวโน้มลดลง โดยเฉพาะราคาน้ำมันที่ขึ้นอยู่กับการบริหารจัดการภาระต่าง ๆ
ที่ภาครัฐเคยสนับสนุนไว้และการรักษาสมดุลของค่าครองชีพประชาชน มากกว่าการปรับตัวตามทิศทางราคาพลังงานโลก ทั้งนี้อัตราเงินเฟ้อพื้นฐานมีแนวโน้มจะชะลอลงช้ากว่าจากการทยอยส่งผ่านต้นทุนจากผู้ประกอบการมายังราคาผู้บริโภค

ด้านนโยบายการเงินไทย คาดว่าจะทยอยปรับขึ้นดอกเบี้ยต่อเนื่องสู่ Terminal rate ที่ 2.5% ในไตรมาส 3 ตามปัจจัยเศรษฐกิจไทยที่ยังมีแนวโน้มขยายตัวต่อเนื่อง ปัจจัยเงินเฟ้อที่แม้จะกลับมาอยู่ในกรอบแต่ยังมีความเสี่ยงสูงจากแรงกดดันเงินเฟ้อด้านอุปสงค์ และปัจจัยดอกเบี้ยที่แท้จริงควรกลับเป็นบวก ภาวะการเงินไทยจึงมีแนวโน้มตึงตัวขึ้นต่อเนื่อง

ในระยะสั้นเงินบาทจะยังอ่อนค่าและผันผวนสูง จากหลายปัจจัยโดยระยะเวลาการจัดตั้งรัฐบาลจะเป็นปัจจัยหลักที่กำหนดทิศทางเงินบาท  ทั้งนี้คาดว่าช่วงปลายปีเงินบาทจะกลับมาแข็งค่าที่ราว 32.80-33.80 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐจากความไม่แน่นอนทางการเมืองที่ลดลง ขณะที่เงินดอลลาร์สหรัฐที่จะกลับมาอ่อนค่าหลัง Fed หยุดขึ้นดอกเบี้ย และแนวโน้มการฟื้นตัวต่อเนื่องของเศรษฐกิจไทย