SCGP ประกาศผลการดำเนินงานไตรมาส 1 ปี 2568 รายได้จากการขาย 32,209 ล้านบาท EBITDA 4,232 ล้านบาท กำไร 900 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากไตรมาสก่อน จากกลยุทธ์ปรับตัวรวดเร็ว รุกตลาดอาเซียนรองรับดีมานด์ผู้บริโภคภายในประเทศ เดินหน้าสร้างฐานผลิตวัสดุอุปกรณ์ทางการแพทย์ เสริมประสิทธิภาพลดต้นทุนพลังงานด้วยเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) และ Machine Learning บริหารต้นทุนวัตถุดิบกระดาษรีไซเคิลอย่างมีประสิทธิภาพ พร้อมแผนรับมือนโยบายภาษี ใช้จุดแข็งเครือข่ายการผลิตในภูมิภาค พอร์ตสินค้าหลากหลาย การส่งออกตลาดศักยภาพสูง บูรณาการการผลิตและวัตถุดิบอย่างยืดหยุ่น
นายวิชาญ จิตร์ภักดี ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เอสซีจี แพคเกจจิ้ง จำกัด (มหาชน) หรือ SCGP กล่าวถึงภาพรวมอุตสาหกรรมบรรจุภัณฑ์ไตรมาสแรกของปี 2568ว่าตลากอาเซียนเติบโตต่อเนื่อง โดยเฉพาะบรรจุภัณฑ์กลุ่มอาหารและเครื่องดื่ม บรรจุภัณฑ์สินค้าอุปโภคบริโภค จากการกระตุ้นเศรษฐกิจ การเตรียมสินค้าก่อนถึงวันหยุดในไทยและอินโดนีเซีย การฟื้นตัวของการท่องเที่ยว และการส่งออกสินค้าก่อนมาตรการภาษี
อย่างไรก็ตาม ความต้องการบรรจุภัณฑ์บางส่วนในจีนและเวียดนามได้รับผลกระทบจากวันหยุดช่วงเทศกาลปีใหม่ ประกอบกับความต้องการในสินค้าคงทนที่ชะลอตัวจากกำลังซื้อของผู้บริโภคที่จำกัดมากขึ้น
โดย SCGP เน้นการขายเพื่อตอบสนองความต้องการใช้บรรจุภัณฑ์ที่เพิ่มขึ้นในกลุ่มอุปโภคบริโภคในตลาดอาเซียน พร้อมปรับกลยุทธ์การส่งออกกระดาษบรรจุภัณฑ์ไปยัง เอเชียใต้ และตะวันออกกลาง รวมไปถึงเพิ่มประสิทธิภาพในการลดต้นทุนด้วยการใช้เทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) และ Machine Learning อีกทั้งจัดการต้นทุนพลังงานและวัตถุดิบกระดาษรีไซเคิล (RCP) อย่างมีประสิทธิภาพ ส่งผลให้ไตรมาสที่ 1 ปี 2568 มีรายได้จากการขาย 32,209 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 3% EBITDA เท่ากับ 4,232 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 49% และมีกำไร 900 ล้านบาท เพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับไตรมาสก่อน
สำหรับไตรมาสที่ 2 คาดว่าอาเซียนมีแนวโน้มขยายตัวต่อเนื่อง GDP จะเติบโตสูงกว่าภูมิภาคอื่น เฉลี่ย 2- 7% ตามความแตกต่างกันในแต่ละประเทศ และความต้องการใช้บรรจุภัณฑ์กลุ่มสินค้าส่งออกที่เพิ่มขึ้นในช่วงก่อนการบังคับใช้มาตรการภาษีนำเข้า สำหรับต้นทุนวัตถุดิบกระดาษรีไซเคิลและค่าขนส่งมีแนวโน้มปรับขึ้นเล็กน้อยจากความต้องการในภูมิภาค ขณะที่ต้นทุนพลังงานมีแนวโน้มทรงตัว และมีความท้าทายจากภาคการส่งออกที่ต้องติดตามอย่างใกล้ชิด
นายวิชาญ กล่าวถึงการรับมือจากมาตรการภาษี (Reciprocal Tariff) ว่าได้เตรียมแผนเชิงรุก โดยปรับตัวรวดเร็ว สร้างความสามารถและความได้เปรียบในการแข่งขันผ่านคุณภาพสินค้า ความร่วมมือสร้างความเป็นเลิศด้านการตลาด (Marketing Excellence) เพื่อส่งมอบสินค้า บริการและโซลูชันที่ตอบโจทย์ลูกค้า รวมทั้งเตรียมแผนการใช้ประโยชน์จากฐานการผลิตที่ตั้งอยู่ในหลายประเทศและความหลากหลายของผลิตภัณฑ์ สามารถตอบสนองความต้องการของลูกค้าได้อย่างรวดเร็ว อีกทั้งแผนการส่งออกสินค้าไปยังตลาดใหม่ๆที่มีศักยภาพสูง การบูรณาการห่วงโซ่อุปทาน เพื่อรองรับความต้องการของลูกค้า และการจ้างผลิตเพื่อให้ได้ต้นทุนที่แข่งขันได้ เช่น การผลิตบรรจุภัณฑ์อาหารในยุโรปตะวันออก
นอกจากนี้ ยังเดินหน้าขยายตลาดในอาเซียน เพื่อนำเสนอโซลูชันบรรจุภัณฑ์ครบวงจร โดยร่วมลงทุนในบริษัทโฮวะ แพ็คเกจจิ้ง (ประเทศไทย) จำกัด ในสัดส่วน 25% กับ Howa Sangyo Company Limited เพื่อผลิตบรรจุภัณฑ์แบบอ่อนตัวสำหรับอาหารสัตว์เลี้ยงชนิดเปียก ด้วยกำลังการผลิต 6,000 ตันต่อปี ซึ่งคาดว่าจะเริ่มการผลิตในเดือนมิถุนายนนี้
พร้อมทั้งเดินหน้ากลยุทธ์เติบโตในตลาด Healthcare Supplies โดยร่วมกับ Once Medical Company Limited (Once) นำความเชี่ยวชาญมาผลิตหลอดฉีดยาและเข็มฉีดยาที่บริษัทวีอีเอ็ม (ไทยแลนด์) จำกัด (VEM-TH) ในประเทศไทย ด้วยงบลงทุนประมาณ 142.3 ล้านบาท คาดว่าจะเริ่มการผลิตเชิงพาณิชย์ในเดือนมกราคม ปี 2569 ซึ่งจะช่วยลดการพึ่งพาการนำเข้ากระบอกฉีดยาและเข็มฉีดยา และเพิ่มโอกาสการขายผ่านช่องทางของ Deltalab, S.L. ในประเทศสเปนด้วย
“SCGP มุ่งพัฒนานวัตกรรมบรรจุภัณฑ์เพื่อความยั่งยืน โดยสัดส่วนรายได้จากกลุ่มสินค้านวัตกรรมและโซลูชัน คิดเป็น 39% ของรายได้จากการขายรวมในไตรมาสที่ 1ปี 2568 เพิ่มขึ้นจาก37% ในปี 2567 และล่าสุด Paper Cutlery หรือนวัตกรรมช้อน ส้อม และมีด ที่ผลิตจากกระดาษ แบรนด์ “Fest by SCGP” ได้รับรางวัลชนะเลิศ THAIFEX-HOREC Innovation Awards จากเวที THAIFEX-HOREC Asia 2025 นอกจากนี้ยังขับเคลื่อนนโยบายด้าน ESG เพื่อลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก โดยไตรมาสแรกเพิ่มสัดส่วนการใช้เชื้อเพลิงชีวมวลเป็น 42% จาก 38% ในปีก่อน สูงกว่าเป้าหมายที่กำหนดไว้” นายวิชาญ กล่าวสรุป