TIA สัมมนาสัญจร ครั้งที่ 2 จ.เชียงใหม่ ให้ความรู้การดำเนินคดีแบบกลุ่ม “Class Action”

0
132

สมาคมส่งเสริมผู้ลงทุนไทยร่วมมือธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.)สัมมนาสัญจร ให้ความรู้การดำเนินคดีแบบกลุ่ม “Class Action” ครั้งที่ 2 ที่ จังหวัดเชียงใหม่  โดยมีกลุ่มผู้นำทางสังคม-ทนายความ – บจ. และโบรกเกอร์ กว่า 100 คนเข้าร่วมฟัง       หวังเป็นกลไกหนึ่งในการดูแลและรับมือ “ภัยในตลาดเงิน และ ภัยในตลาดทุน” ด้าน ธปท.เปิดตัวเลข ร้องผ่าน 1213 ครึ่งปี 5 พันเรื่อง หลอกให้กู้ -โอนเงินผ่านแอบพลิเคชั่น 

นายยิ่งยง นิลเสนา นายกสมาคมส่งเสริมผู้ลงทุนไทย (TIA)  เปิดเผยว่า  สมาคมเดินหน้าให้ความรู้ และผลักดันให้กฎหมาย ฟ้องคดีแบบกลุ่ม – Class Action เข้ามาเป็นกลไกในการดูแล ช่วยเยียวยาผู้ลงทุนที่ได้รับความเสียหาย   หากเกิดกรณีถูกฉ้อฉล ถูกเอารัดเอาเปรียบ ไม่ได้รับความเป็นธรรมในการลงทุน   โดยล่าสุดได้จัดสัมมนาสัญจร ที่จังหวัดเชียงใหม่  โดยมีกลุ่มผู้นำทางสังคม  กลุ่มบุคลากรในกระบวนการยุติธรรม กลุ่มทนายความ กลุ่มนักลงทุน  กลุ่มโบรกเกอร์ กลุ่มนักวิชาการด้านกฎหมาย กลุ่มข้าราชการปกครอง และกลุ่มสื่อมวลชน กว่า100 คนเข้าร่วมสัมมนา   

TIA ร่วมกับ ธปท มีแผนจัดงานต่อเนื่อง 3 ครั้งในปีนี้ ครั้งแรกที่ขอนแก่น ครั้งที่ 2 ที่เชียงใหม่  และสงขลาเป็นจังหวัดสุดท้าย  โดยขอนแก่น มีบริษัทหลักทรัพย์ (บล.) เปิดสาขาเพื่อให้บริการกับนักลงทุน 16 สาขา,เชียงใหม่ 26 สาขาและสงขลา 20 สาขา  มีมูลค่าซื้อขายติดท็อป 5   โดยเชียงใหม่มูลค่าซื้อขายอยู่ติดอันดับ 2  ขอนแก่น ติดอันดับ 4 และสงขลาอันดับ 5

ทั้งนี้สถิติการทำผิดในตลาดทุนยังคงเกิดขึ้นต่อเนื่อง ล่าสุดกรณีของหลักทรัพย์  STARK ส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นของนักลงทุน ซึ่งทางกรมสอบสวนคดีพิเศษ(DSI)ประเมินความเสียหายเกือบ 1 แสนล้านบาท  โดย TIA ทำหน้าที่เป็นศูนย์กลางรวบรวมข้อมูลผู้เสียหาย ซึ่งลงทะเบียนมากว่า 1,759 ราย ที่จะดำเนินการ ต่อไปภายใต้ กฎหมาย Class Action 

นายนิรัตน์ พงษ์สิทธิถาวร ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงใหม่ ประธานในการเปิดงานสัมมนาสัญจร  กล่าวว่า  เชียงใหม่เป็นจังหวัดใหญ่    เป็นเมืองที่มีความเจริญทางเศรษฐกิจของภาคเหนือ  ซึ่งภัยทางการเงินและการลุงทน  อาจเกิดขึ้นได้ทุกเวลากับทุกคน  ดังนั้นการให้ความรู้ การมีมาตรการและเครื่องมือเข้ามาช่วยก็จะสามารถดูแลประชาชนได้  

คุณพรวิภา ตั้งเจริญมั่นคง ผู้อำนวยการอาวุโส ธนาคารแห่งประเทศไทย สำนักงานภาคเหนือ จังหวัดเชียงใหม่ กล่าวถึงการร้องเรียนผ่านสายด่วน 1213 ว่า ในช่วงครึ่งปีแรกของปี 2566  มีประชาชนร้องเรียนกว่า 5,000 สาย  จากปี 2565 ที่มี 10,000 สาย โดย  เรื่องหลักคือ หลอกให้ลงทุน แอบพลิเคชั่นกู้เงินนอกระบบ และนับตั้งแต่มี พรก.ที่เกิดขึ้นกับความร่วมมือ ของกระทรวงดีอี สำนักงานตำรวจแห่งชาติที่มีผลบังคับใช้เมื่อ  มี.ค 2566  ถึง 30 มิ.ย 2566  มี มูลค่า ความเสียหาย 6,000 ล้านบาทสามารถอายัดบัญชีได้ประมาณ 10%

 รศ.ดร. ปานทิพย์ พฤกษาชลวิทย์ อาจารย์ประจำคณะนิติศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ผู้ทำวิจัย เรื่องการดำเนินคดีแบบกลุ่มสำหรับผู้ลงทุนในตลาดหลักทรัพย์ กล่าวว่า   ประเภทคดีที่อาจดำเนินคดีแบบกลุ่ม Class Action   เช่น คดีหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ คดีคุ้มครองผู้บริโภค คดีแรงงาน คดีป้องกันการผูกขาด คดีเกี่ยวกับสิ่งแวดล้อม คดีคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลและคดีที่เกี่ยวกับบริการทางการเงินเป็นต้น

ทั้งนี้คดีฟ้องกลุ่มที่เข้าสู่ศาลของไทย ส่วนใหญ่เป็นคดีผู้บริโภคและสิ่งแวดล้อม ส่วนคดีหลักทรัพย์ยังไม่มี ต่างจากสหรัฐอเมริกา การดำเนินคดีแบบฟ้องคดีกลุ่ม แพร่หลายมาก โดยปี 2565 มี 635 คดี มูลค่า 50,000 ล้านเหรียญสหรัฐ   

ส่วนกรณี STARK  การรวมกลุ่มกันฟ้อง ต้องมีระยะเวลาที่เกิดความเสียหายให้ชัดเจน เพื่อให้ศาลได้เห็นถึงความเป็นสมาชิกกลุ่ม และใครจะเป็นผู้ที่จะได้รับผลประโยชน์จากการฟ้อง Class Action   

ปัจจุบันยังไม่มีศูนย์กลางในการประสานงาน รวบรวมข้อมูล หรือช่วยเหลือผู้เสียหายในคดีต่างๆ  ซึ่งการจะเป็น Class Action  ต้องมีผู้เสียหายเยอะมากๆ  แต่ปัญหาคือผู้เสียหายกระจัดกระจายอยู่ทั่วประเทศ และอาจหายไปในระหว่างการดำเนินคดี  การกลั่นกรอง  คัดแยก ยืนยันตัวตนสมาชิกกลุ่มต้องชัดเจน  ป้องกันเหตุการณ์คนที่ไม่ได้เสียหายจริง หรือคนที่อาจจะมีส่วนได้ส่วนเสียหรืออยากทำให้คดีไปในทิศทางที่ไม่เป็นประโยชน์กับกลุ่มใหญ่ กลายเป็นประโยชน์กับกลุ่มเล็กๆแทน